การบรรยายพิเศษ “มหาวิทยาลัยในระบบใหม่” โดย ศ.ดร.เกษม สุวรรณกุล นายกสภามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในวันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม 2538 ณ ห้องประชุม 404 อาคารบริหาร สำนักงานอธิการบดี
ท่านกรรมการสภามหาวิทยาลัย อธิการบดี รองอธิการบดี คณบดี อาจารย์ ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ผมยินดีอย่างมาก ในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่ได้มาพูดกับท่านอาจารย์เกี่ยวกับ เรื่อง มหาวิทยาลัยในระบบใหม่ ความจริงการพูดเรื่องนี้ของผมถ้าจะคิด ผมพูดที่มหาวิทยาลัยอุบลฯ ก็เป็นครั้งที่ 2 เมื่อประมาณปี 2535 ผมเคยพูดหนหนึ่งแล้วที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ สมัยนั้นตึกนี้ยังไม่มี ได้พูดที่ตึกเก่าก็มีคนฟังมาก สมัยนั้นก็พูดในฐานะรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย แล้วก็จะเสนอกฎหมายการให้มหาวิทยาลัย ออกนอกระบบราชการก็ได้มาพูดที่นี่ และได้ทำความเข้าใจกับท่านอาจารย์ท่านหลาย วันนี้ผมพูดเรื่องนี้ ก็อย่าเพิ่งเข้าใจว่า มหาวิทยาลัยจะผลีผลามออกนอกระบบราชการทั้ง ๆ ที่จริง ถ้าถามความเห็นของผม ก็เห็นว่าถ้าออกได้ก็ควรออกเสียแต่พรุ่งนี้ แต่ก็มีความต้องการที่จะไปรีบร้อนมากนัก ทั้ง ๆ ที่มหาวิทยาลัยก็ได้ลงมติว่าอยากจะออก แต่ว่ายังมีเงื่อนไข ก็ควรทำความเข้าใจกับท่านอาจารย์ให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเวลาต้องการออก ก็เสียดายที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เป็นมหาวิทยาลัยที่เกิดก่อนที่จะมีการอยากจะได้เปลี่ยนแปลงระบบใหม่นี้ไม่นานนัก ถ้าหากเป็นมหาวิทยาลัยใหม่ อย่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี หรือมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ การเปลี่ยนแปลงก็ทำได้ง่าย ความจริงไม่ถือว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงเพราะยังไม่มีอะไร แต่การที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ซึ่งตั้งอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กับมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ซึ่งตั้งอยู่ภาคใต้ เขาเป็นระบบใหม่ ก็มีส่วนดีทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าเขาทำกันอย่างไร ความเจริญก้าวหน้าเขาเป็นอย่างไร ซึ่งผมก็คงจะพูดในส่วนนี้หน่อย โดยที่ผมเคยเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยสุรนารีมาระยะหนึ่ง กับขณะนี้จริง ๆ ผมเป็นผู้เสนอกฎหมายต่อสภาของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์อยู่ เพราะฉะนั้นก็สามารถเปรียบเทียบอะไรต่ออะไรได้ เมื่อจบคำบรรยายของผมแล้ว ท่านอาจารย์สงสัยในประเด็นใด ก็ถามได้ทุกประเด็น ผมเข้าใจว่าผมคงตอบได้ทั้งในแง่กฎหมาย แง่ทฤษฎี และแง่ปฏิบัติ เพราะผมเป็นผู้มีส่วน ในการที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับ ทั้ง 2 มหาวิทยาลัยนั้นอยู่ด้วย ผมมีเวลาประมาณชั่วโมงเศษ ๆ หรือ 2 ชั่วโมง ส่วนหนึ่งก็จะต้องให้อาจารย์สำหรับถามอะไร เรื่องที่ผมจะพูดผมก็จะพูดว่ามหาวิทยาลัยของเรา ที่เป็นอยู่ขณะนี้มันเป็นมาอย่างไร ถึงมาเป็นแบบนี้อยู่ และก็แบบนี้มันดี มันไม่ดีอย่างไร เราทำไมถึงควรจะต้องแก้และถ้าหากว่าเราจะเปลี่ยนแปลง เราควรเปลี่ยนแปลงอย่างไร อย่างน้อยระบบที่เขาใช้อยู่เป็นอย่างไร

มหาวิทยาลัยเป็นสถาบันทางสังคม เกิดขึ้นมาก็เพื่อสนองความต้องการของสังคม เพราะฉะนั้นความต้องการของสังคมจะเป็นกำหนด หน้าที่บทบาทของมหาวิทยาลัยอย่างมาก มหาวิทยาลัยในประเทศไทยก็ต้องรับว่าใหม่มาก เพราะมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป เกิดขึ้นในสมัยกลาง หรือประมาณ 900 ปีเศษมาแล้ว มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดคือมหาวิทยาลัย โบโลญย่า ประเทศสเปน ก็คือ 900 ปีเศษ นอกนั้นก็มีมี PARIS OXFORD CAMBRIGE HIDELEBURGH พวกนั้นก็ 700 ปีบ้าง 500 ปี 600 ปีเศษ ๆ อะไรต่ออะไรนี่ แต่มหาวิทยาลัยในยุโรปเกิดขึ้นมา โดยเหตุผลที่ว่าคนในสมัยกลางของยุโรป หรือสมัยนี้ การตั้งมหาวิทยาลัยเป็นการตอบสนองความอยากรู้ อยากเห็น ความใฝ่เรียน ของคนในตะวันตก หรือที่เรียกว่า Spririt of Inquiry and Tradition of Learning ของคนในตะวันตกมันถึงเกิดขึ้นมาในสมัยนั้น

ในสมัยกลางการเกิดของมหาวิทยาลัยไม่ใช่เกิดขึ้นโดยรัฐบาลไปตั้งขึ้นมา แต่เกิดจากการที่คนในสังคมนั้นเต็มไปด้วย Spririt of Inquiry and Tradition of Learning ตั้งกันเอง จะเป็นลักษณะของการที่ปราชญ์มานั่งคุยกัน และก็มีลูกศิษย์ลูกหา ซึ่งเป็นคนที่อยากรู้ อยากเรียน อยากเห็น มานั่งฟังด้วย หรือแม้กระทั่งว่านิสิตนักศึกษาที่อยากรู้อยากเห็น ก็ไปจ้างครูบาอาจารย์มาสอนเอง คือ ลักษณะของมหาวิทยาลัยที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น เพราะฉะนั้นรัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย รูปแบบของการจัดตั้งมหาวิทยาลัยด้วยเหตุผลนั้น และด้วยรูปแบบของมหาวิทยาลัย มันควรเป็นรูปแบบ ซึ่งผมจะเรียกว่ามันไม่มีระบบราชการเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นของคนที่เข้ามาตั้งกันเองอย่างที่ผมได้เรียนไปแล้ว ฉะนั้นความป็นอิสระค่อนข้างสูงมาก มันมีความเป็นอิสระทุกอย่างแล้ว แล้วก็ถึงแม้ว่าในขณะนี้มหาวิทยาลัยในประเทศต่าง ๆ จะเป็นประเทศเยอรมันก็ดี ประเทศอังกฤษก็ดี ส่วนใหญ่ของประเทศอังกฤษหรือทั้งหมดนอกจากมหาวิทยาลัย OXFORD และมหาวิทยาลัย CAMBRIGE มหาวิทยาลัยใหม่ ๆ ที่ตั้งในประเทศฝรั่งเศส ก็เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแล้ว แต่ก่อนนี้ไม่ใช่ของรัฐ แต่ความที่มันเป็นมหาวิทยาลัยนอกระบบซะนาน ความเป็นอิสระที่ว่านี่ ก็คือ เป็นหลักที่ไม่แต่พียงคนในมหาวิทยาลัยเขาหวงแหน คนที่ประชาชนต่าง ๆ ของเขาเห็นด้วยที่มหาวิทยาลัยมีอิสระดี ต้องมีลักษณะอย่างนี้ เป็นลักษณะที่รัฐาลเข้าใจและรัฐบาลก็สนับสนุนให้เป็นเช่นนั้น
โดยหลักถึงแม้พยายามเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง ถ้าจะเข้า ก็เข้ามาแทรกแซงงานของมหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นความป็นอิสระของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ แม้กระทั่งขณะนี้ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐก็ยังสูง เป็นรูปแบบซึ่งประชาชนยอมรับ และเป็นรูปแบบที่คนในมหาวิทยาลัยหวงแหน และก็ด้วยการจัดตั้งมหาวิทยาลัยในลักษณะนั้น มหาวิทยาลัยในต่างประเทศจึงเป็นแหล่งที่ผลิตความรู้ทางวิชาการ อะไร ๆ ออกมาเป็นจุดมุ่งหมายหลักของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ถ้าเราจะเอามาเปรียบเทียบไทยก็คือว่า ในระยะนั้นเขาตั้งเพื่อที่จะสร้างผู้ทรงความรู้ (Intellectual of Ability) ให้กับคน เพราะฉะนั้น เมื่อจุดมุ่งหมายของการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเพื่อจะสร้างผู้ทรงความรู้ (Intellectual of Ability) หรือ ความเฉลียวฉลาดให้กับคนแล้ว รูปแบบการเรียนการสอน มันจะเป็นอีกแบบหนึ่งเลย ยกตัวอย่าง เช่น ในประเทศอังกฤษ เป็นรูปแบบการเรียน การสอนในระบบที่มีการติวเข้ม (Tutation system) มีนักเรียนไม่กี่คน ครู 1 คน และก็เสวนากันไปใช้ระยะ 3 ปีครึ่ง ครูเข้ามาถึง เอาปัญหามาให้นักเรียน ในสัปดาห์นั้น นิสิตนักศึกษาก็ไปค้นคว้าแล้วก็กลับมาถกมาเถียงกับครู ระหว่างนักเรียนกันเองอีกและกลับไปศึกษาใหม่ เรียนน้อยวิชา ถือว่าวิชาความรู้เป็นเครื่องมือในการสร้างผู้ทรงความรู้ให้กับคน (Intellectual of Ability) เพราะฉะนั้นเขาจะไม่เรียนมากวิชา แต่ว่าใช้การถกการถียงอะไรนี่ ท่านอาจารย์เจตนา/ท่านอยู่ประเทศเยอรมัน ท่านอาจารย์อมร/ท่านอยู่ประเทศฝรั่งเศส ลักษณะของการเรียน ซึ่งต้องเรียนด้วยตนเองค่อนข้างสูงในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในประเทศฝรั่งเศส และประเทศเยอรมัน เพราฉะนั้นในสังคมอย่างนั้น มุ่งสร้างองค์ความรู้ให้กับคน (Intellectual of Ability) ก็มหาวิทยาลัยอยู่นอกวงราชการ เพราะฉะนั้นก็มีอิสระในการที่จะทำอะไรได้เต็มที่
มหาวิทยาลัยในต่างประเทศจึงเป็นแหล่งที่ได้สะสมความรู้ (Accumulate) ไว้มากมายเหลือเกิน จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ความรู้ที่มีอยู่เป็นความรู้ที่สะสมสร้างขึ้นมาโดยมหาวิทยาลัยเป็นจำนวนมาก และหน้าที่ของมหาวิทยาลัยก็คือถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็กรุ่นหลัง (Generation) ไปพร้อมกับงานวิจัยของมหาวิทยาลัย ฯ ก็จะสร้างองค์ความรู้ใหม่ เพราะฉะนั้นมหาวิทยาลัยอย่างนั้น นอกจากสร้างผู้ทรงความรู้ (Intellectual of Ability) ให้กับเด็กแล้ว มหาวิทยาลัยยังสร้างองค์ความรู้ใหม่ ก็คือ สร้างโดยการวิจัย การวิจัยนี้จำเป็นเหลือเกินที่ต้องมีการบริหารที่คล่องตัวมาก ในการวิจัย เพื่อที่จะไม่เกิดอุปสรรคในการวิจัย เพราะฉะนั้น มหาวิทยาลัยในต่างประเทศก็เกิดขึ้นในลักษณะนั้น
เมื่อหันมาดูในเมืองไทย มหาวิทยาลัยก็เกิดขึ้นตามความต้องการของสังคมนั้น จริง ๆ แล้ว การศึกษาระดับอุดมศึกษาเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 คงเกิดก่อนหน้านั้นมิได้ ไม่มีการศึกษาระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษารองรับ แต่รัชกาลที่ 5 ท่านก็ได้สร้างโรงรียนมัธยมขึ้น ในระยะนั้นมาหลายโรงเรียน ก็เพื่อจะรองรับคนที่จะเข้ามหาวิทยาลัย จริง ๆ แล้วในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ยังไม่มีมหาวิทยาลัยหรอก มีแต่โรงเรียนชั้นสูงอย่างเช่น โรงเรียนกฎหมายก็สอนกฎหมาย โรงเรียนแพทย์ก็สอนแพทย์ โรงเรียนมหาดเล็กหลวงสอนการปกครองต่าง ๆ โรงเรียนต่าง ๆ เหล่านั้นถือเป็นการศึกษาขั้นสูง จุดมุ่งหมายของการตั้งอุดมศึกษาขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศในการพัฒนา ซึ่งรัชกาลที่ 5 เริ่มพัฒนาประเทศ เราก็รู้อยู่ ก็ต้องการคน เมื่อคนไทยยังไม่มีก็เอาฝรั่งมาสอนและพร้อมกันนั้น ก็เอาคนไทยตั้งโรงเรียนขึ้นในเมืองไทย และก็ส่งคนไทยไปเรียนในต่างประเทศ เพื่อที่จะเอามาทดแทนฝรั่ง แล้วเมื่อรัชกาลที่ 5 สวรรคตแล้ว รัชกาลที่ 6 ก็ได้รวมโรงเรียนต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือน เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่า จุดมุ่งหมายในการตั้งมหาวิทยาลัย หรือการรวมศึกษาของประเทศไทย เพื่อที่จะสนองความต้องการของสังคม เพื่อจะพัฒนาประเทศ แล้วก็ต้องการเอาคนไปรับราชการ ชื่อของโรงเรียนข้าราชการพลเรือน มันส่ออยู่ในตัวแล้วหาคนไปรับราชการ แล้วต่อมาจึงเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ
เมื่อจุดมุ่งหมายในการตั้งมหาวิทยาลัยเป็นอย่างนั้น ถึงแม้เราจะเลียนรูปแบบมหาวิทยาลัยต่างประเทศมา ความต้องการของสังคมมันจะเป็นตัวกำหนด (Dictate Operation) คือ วิธีการของมหาวิทยาลัยเมืองไทยนี่ มหาวิทยาลัยเป็นของใหม่ คำว่า มหาวิทยาลัย แม้กระทั่งในระยะไม่ถึง 100 ปี มานี้ ไม่มีคำว่า “มหาวิทยาลัย” เวลาตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ยังหาคำไม่ได้ว่าเอาชื่ออะไรดี ก็มีการถกเถียงกันก็โชคดีมีคำ 2 คำ ให้เลือก อันหนึ่งคือ “สากลวิทยาลัย” เดิมที่มีคนจะให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยชื่อว่า “รัตนโกสินทร์สากลวิทยาลัย” ซึ่งผมคิดว่าไพเราะดี ทำไมเขาไม่เลือกชื่อนั้นก็ไม่ทราบ แต่ว่ามาเลือกคำ “มหาวิทยาลัย” แล้วรัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทาน “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ” คำว่า “รัตนโกสินทร์สากลวิทยาลัย” ก็เลยตกไปในสังคม แม้ว่าคำว่า “มหาวิทยาลัย” ยังไม่มี เพราะฉะนั้นจึงรู้สึกเป็นของใหม่จึงไม่ได้ตอบสนอง Spirit of Inquiry and Tradition of Learning ของคนไทยเลยเพราะไม่เคยมี แต่ตอบสนองความต้องการของสังคมที่จะให้ไปรับราชการ เพราะฉะนั้นมันก็มีรูปแบบของมันอย่างนั้น 
1. การเรียนการสอน ในขณะที่มหาวิทยาลัยในยุโรปนี่ต้องการสร้าง “Intellectual of Ability” ให้กับคนรุ่นหลัง ให้กับคน ในขณะที่ยุโรปเป็นอย่างนั้น เมืองไทยต้องการให้คนมีความรู้ ๆ สิ่งที่มีอยู่แล้วอยู่ในตำราฝรั่ง โดยเฉพาะแล้วก็ให้คนไทยได้รู้ตำราต่างๆ เหล่านั้นนะครับ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้คือมหาวิทยาลัยมี “Vision”หรือมีหน้าทึ่อยู่อันเดียวคือสอนหนังสือ ไม่มีหน้าที่ทำการวิจัยเหมือนกับมหาวิทยาลัยในยุโรปเลย การสอนหนังสือก็ด้วยมูลเหตุที่มิได้มุ่งสร้าง Intellectual of Ability ให้กับคน เพราะเหตุว่าความรู้ในโลกมีอยู่มากแล้ว ลำพังจะให้คนไทยที่จะมาเรียนหนังสือรู้ความรู้ที่เขามีอยู่แล้วก็แทบยากนะครับ แต่ก็มุ่งแค่นั้นให้คนเขารู้สิ่งที่มีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมหาวิทยาลัยไทยจึงมี “Vision” อยู่เกี่ยวกับการสอนหนังสือไม่มีงานวิจัยเลย จะเห็นว่ามีความแตกต่างกันมาก แม้กระทั่งการสอนหนังสือก็ไม่ได้สอน Intellectual of Ability แต่ต้องการให้คนรู้ ครูจึงใช้วิธีการเรียกว่า “ป้อนนักเรียน” หรือที่เรียกว่า “Spoonfeed” คือนำความรู้ที่มีอยู่แล้วมาป้อนให้กับนักเรียน นักเรียนที่ดีที่สุดคือ นักเรียนที่ครูป้อนและกลืนไปให้หมดแล้วก็คายออกมาให้ครูเห็นตอนที่สอบได้ดีที่สุด คือจำ แม้กระทั่งผมนี่เวลาผมเรียนมหาวิทยาลัย ครูบางคนยังบอกแม้กระทั่งย่อหน้า ขอประทานโทษโปรดย่อหน้าหลายคนยังใช้วิธี Lecture นี่เป็น Standard Technique ของการสอนหนังสือ และคนก็จด Lecture ไปผมนี่เป็นคนที่จด Lecture เก่งที่สุด เวลาผมเรียนหนังสือที่ จุฬาฯ เก่งมากแทบจะเรียกว่าจดทุกตัวที่ครูสอน เพราะฉะนั้นเวลาผมสอบ ผมได้เกียรตินิยมเพราะว่าผมคายออกมาได้เหมือน นั่นคือลักษณะที่ว่านักเรียนดี คือจำที่ครูเขาบอกมาแล้วท่องให้ได้ แล้วก็ห้องสมุดความจริงเรียกว่าเป็นองค์กรหลักของมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยในต่างประเทศจะดูว่า ห้องสมุดไหนใครดีกว่ากัน มหาวิทยาลัยดีต้องมีห้องสมุดที่ดี และมีหนังสือมากให้คนไปค้นคว้าได้ ในเมื่อมหาวิทยาลัยไทย มีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะคนรู้ความรู้ที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะความรู้ที่ครูไปเรียนมา ครูไปอ่านมา และนำมาให้ห้องสมุด จึงเป็นแต่เพียงเครื่องประดับ เครื่องประดับแท้ๆ ไม่มีความจำเป็นเลย มหาวิทยาลัยมีห้องสมุด แต่ไม่มีความจำเป็นต้องไปเข้าห้องสมุด ดีไม่ดีไปเข้าห้องสมุดจะสอบตก เพราะจะตอบไม่เหมือนครู ครูบางคนเขาก็ไม่ Expect ว่านักเรียนจะทำยังไง เขาก็ถามที่เขาสอน ครูบางคนมีแม้กระทั่งว่าให้คะแนนลายมือสวย เพราะต้องอ่านที่นักเรียนตอบ เพราะฉะนั้นนักเรียนที่ดีไม่จำเป็นต้องเข้าห้องสมุดเลย ห้องสมุดเป็นเพียงเครื่องประดับลักษณะของมหาวิทยาลัยที่ต้องการให้คนได้รู้ และเรียนโดยวิธี Spoonfeed งานวิจัยไม่มีเลย ผมเคยไป Discuss งานวิจัยของมหาวิทยาลัย คณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะฯ ที่ต้องทำวิจัยจริง ๆ แล้วเราไปพบว่า มีเห็ดกับรังผึ้ง นี่รู้สึกจะมีการวิจัยสมัยโบราณ ผมเข้าใจว่าอาจารย์ไทยที่ไปเรียนเมืองนอก เมืองนอกมีวิจัย พอกลับมาก็อยากวิจัย แต่บางคนพบว่า ไม่ทำวิจัยตนเองก็ได้ดี คือไม่เห็นต้องทำวิจัย จนมีตำแหน่งทางวิชาการอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นยุ่งทำไม แล้วทำวิจัยมันยุ่งอีก เงินทองไม่มี จะเบิกอะไรมันยุ่ง เบิกไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ทำ จุฬา ฯ แม้เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรก ไม่มีงานวิจัยเลย เป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่เคยมีงานวิจัย เพราะว่าวิจัย ไม่ใช่ “Vision” หน้าที่หลักของมหาวิทยาลัยไทย จริงๆ แล้ว มหาวิทยาลัยไทย ในระยะนั้นไม่ควรเรียกว่ามหาวิทยาลัย เพราะว่าไม่มีลักษณะของการเป็นมหาวิทยาลัย เป็นโรงเรียนมัธยมชั้นสูง เดี๋ยวนี้มหาวิทยาลัยจำนวนไม่น้อย ก็ถือว่าเป็นโรงเรียนมัธยมชั้นสูง คือสอนดี ไม่ดี บางวิชายังสอนน้อยกว่าโรงเรียนมัธยม แต่ให้เป็นโรงเรียนมัธยมชั้นสูง เพราะเพียงแต่สอนไม่มีวิจัยนะครับ ขณะนี้ถึงแม้พยายามจะเปลี่ยน เพราะพบว่าทำไมนักเรียนของเรา เมื่อจบไปแล้วถึงไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ก็เพราะลักษณะการสอนของเรา ไม่ได้สร้างให้คนได้คิดเองนะครับ แล้วก็ไม่มีหน้าที่หลักคือวิจัย และที่สำคัญอีกอันหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยไทย และเป็นการเข้าใจผิด (Mistake) อยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ คือเหลียวไปเหลียวมาไม่รู้ว่าจะเอามหาวิทยาลัยไปไว้ที่ไหน ก็เลยยัดเข้าเป็นหน่วยราชการให้เป็น “กรม” จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตอนนั้น เรียกว่า “กรม”
มหาวิทยาลัยเมื่อเป็นกรมก็มีลักษณะ
1.คนทำงานในมหาวิทยาลัยทุกคนเป็นข้าราชการทั้งหมด
2.เมื่อเป็นกรมต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบทุกอันของราชการ อยู่กฎกระทรวงการคลัง กฎระเบียบบริหารงานบุคคล ก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบ อันนี้นี่เป็น Mistake ซึ่งทำให้มหาวิทยาลัยของไทยไม่เจริญ ลักษณะธรรมชาติของมหาวิทยาลัยไทยการสอนเป็นเพียง Vision เดียว ไม่มีการวิจัยลักษณะของการบริหารคือเป็นหน่วยราชการ เป็นเวลานานเหลือเกิน กระทั่งคนในมหาวิทยาลัยมีความรู้สึกอย่างนั้น มีความรู้สึกว่าตัวเป็นข้าราชการ แล้วก็ต่อต้านไม่อยากออกนอกระบบ เพราะว่าสนุก (Enjoy) เพราะว่าข้าราชการถือว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ (Practice) สูง คนก็อยากจะเป็นข้าราชการ เงินเดือนสมัยก่อนไม่มากเท่าไหร่ พออยู่กินได้ คนก็ไม่เดือดร้อน อยู่อย่างนั้นจนเคยชิน หหหไม่เพียงคิดว่าเราเป็นข้าราชการเท่านั้น คนอื่นก็คิดว่าเขาเป็นข้าราชการเหมือนกัน การที่คนอื่นเขาคิดว่าเขาเป็นข้าราชการเหมือนกัน ก็เป็นอุปสรรคในการเปลี่ยนแปลงไม่น้อยนะครับ เพราะเราเปลี่ยนเมื่อไหร่เขาต้องบอกว่า You เป็นข้าราชการ You ต้องเหมือนเรา ทำไม You จึงได้เงินเดือนมาก ถ้าหากบอกอาจารย์มหาวิทยาลัยสำคัญ เขาก็บอกว่าเขาก็สำคัญเหมือนกัน เราไปพูดเรื่องความสำคัญไม่ได้ เขาบอกว่าเขาเป็นตำรวจต้องสละชีวิต เป็นทหารก็ต้องสละชีวิต เพื่อชาติบ้านเมืองไม่สำคัญหรือ เราไปพูดในเรื่องความสำคัญไม่ได้
เพราะฉะนั้นความเป็นข้าราชการไม่แต่เพียงคนของเรามีลักษณะเป็นข้าราชการ คือยึดระเบียบ ยึดกฎ คือลักษณะข้าราชการที่เป็น (Bureaucratic Mentalality) คือยึดกฎ ยึดระเบียบเป็นสารณะ บ้านเมืองฉิบหาย ช่างขอให้ถูกระเบียบ เป็นลักษณะของ (BureaucraticMentalality) เพราะฉะนั้นนี่เป็นลักษณะของครู คนอื่นเขามองเราเป็นข้าราชการ ลำพังเราเป็นข้าราชการแล้วมองตนเองก็ยังไม่เป็นไร แต่คนอื่นเขามองว่าเราเป็นข้าราชการเหมือนกัน เป็นอุปสรรคที่ทำให้เราแก้ไขลำบาก มหาวิทยาลัยไทยอยู่ในลักษณะอย่างนี้มานานนะครับ สอนหนังสือย่างเดียว และก็เป็นข้าราชการมานานทีเดียว ถ้าจะถามว่าแล้วมันเสียหายอะไร สนับสนุนการตั้งมหาวิทยาลัยหรือไม่ (Serve Purpose) ผมต้องเรียนว่าการตั้งมหาวิทยาลัย คือคนเข้าไปรับราชการได้ดีมาก ตอนที่ผมเป็นอธิการบดีจุฬาฯ นี่ประมาณสัก 20 ปีที่ก่อนหน้านี้ ผมได้ไปเยี่ยมที่ต่าง ๆ ก็จะปรากฏว่านักเรียนจุฬาฯ ไปอยู่ตามที่ต่าง ๆ มาก ถ้าไปเขื่อนภูมิพลฯ นี่ ลองไปถาม Engineer ดู สมัยนั้นจบวิศวจุฬาฯ ทั้งนั้น ดูเหมือนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ยังไม่มีนักเรียน วิศวฯ มีทหารเรือบ้างนิดหน่อย ทำบัญชีจบจากจุฬาฯ ถ้าฝ่ายปกครองก็มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด บัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ส่วนมากอยู่ภาคเอกชน
เมื่อจอมพลสฎษดิ์ ธนะรัตน์ มีแผนพัฒนาประเทศแผน 1 ผมจำได้ พ.ศ.2507 ทำนองนี้แผนที่ 1 เป็นแผนที่สร้าง Infrastructure สร้างถนน สร้างเขื่อน สร้างอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ในแผน 1 ถ้าไม่มีนักเรียนจุฬาฯ นักเรียนธรรมศาสตร์ นักเรียนที่จบบัญชีอะไรอย่างนี้มาก่อน จอมพลสฎษดิ์ ธนะรัตน์ ก็คงจะไม่สามารถพัฒนาประเทศได้แน่นอน เพราะฉะนั้นผมคงต้องยอมรับว่า มหาวิทยาลัย เมื่อตั้งขึ้นระยะแรก ก็มีส่วนในการพัฒนาประเทศ และก็ทำให้ประเทศพัฒนาไปได้แค่นั้น เมืองไทยได้ชื่อว่ามีทรัพยากรมาก อยากมีโน่นมีนี่ เราอาจจะสำคัญว่า เรามีเขื่อนหลายแห่ง เรามีสะพานแขวน สมัยก่อนนี้สะพานแขวนพระราม 9 ที่ข้ามฝั่งธนบุรี เราสำคัญว่าเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในโลก ตอนนั้นความจริงมันยาวที่สุดในโลกจริง แต่รู้สึกว่าสัก 2 เดือนเขาทำลายสถิติ คือ ญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่จุดหมาย (Point) อยู่ที่ว่าเรามีของทุกอย่าง มีทรัพยากร ปัญหาของคนไทยไม่มีความสามารถนำทรัพยากรขึ้นมาใช้หรอก น้ำมันที่อยู่ในอ่าวไทยที่บอกว่าขุดในอ่าวไทย อะไรต่ออะไรนี่ แต่เป็นน้ำมันของคนอื่นคนไทยต้องไปซื้อเขา เป็นน้ำมันของบริษัท Unicall เราไปซื้อเขาทั้งนั้น อัตราราคาเขากำหนดโดย Opec เราจะมีดีก็คือว่าเราไม่ต้องเสียภาษี แต่จริง ๆ แล้วเราก็เสียภาษีน้ํามัน เหมือนกับที่เราไปซื้อของคนอื่นเหมือนกัน เรามีสะพานใช้ที่ยาวที่สุดในโลกเหมือนกัน แต่ญี่ปุ่นสร้าง ไทยเป็นคนงานไม่มีดีอะไรหรอก เขื่อนก็อิตาเลี่ยนสร้าง ไทยใช้ ที่ผมเป็นห่วงมากคือว่าตราบใดที่เมืองไทย ไม่เป็นเมืองที่สามารถคิดเทคโนโลยีของตนเอง แล้วนำเทคโนโลยีไปขายจะเจริญกว่านี้ลำบาก
หลักของผมอยู่สั้น ๆ ว่าที่เราต้องคิดหนักก็คือไม่มีประเทศใดในโลกนี้ ที่สามารถใช้ทรัพยากรของตนเอง ทําให้พลเมืองของตนเองอยู่ดีกินดีได้ ถ้าจะให้พลเมืองของตนเองอยู่ดีกินดีได้ ต้องดูดเงินของชาติอื่นมาให้พลเมืองของตนเอง สมัยก่อนวิธีที่ประเทศอื่น เขาทำกันคือ ไปเอาเป็นเมืองขึ้น แต่เดี๋ยวนี้การไปเอาเป็นเมืองขึ้น มันล้าสมัย การดูดเงินสมัยนี้ต้องนำของไปขาย ญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างที่ดีของการดูดเงินโดยนำของไปขาย ดูดคนเก่งจนกระทั่งผมคิดว่า ไม่มีประเทศที่อยู่มุมไหนที่ไม่ถูกญี่ปุ่นดูดไปให้ชาวนาญี่ปุ่นเอง เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวนาญี่ปุ่นก็เหมือนชาวนาไทยคือยากจนมาก แต่เดี๋ยวนี้ ชาวนาญี่ปุ่นไปเที่ยวเมืองไหนก็เหมือนชาวนาคือแต่งตัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้สักคำ แต่เดินตามธง จะมีคนเดินถือธงนำหน้า เมืองฝรั่ง ร้านอาหารมักเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น เพราะเวลาญี่ปุ่นซื้อของจะไม่ถามราคาใช้วิธีชี้เอา และก็จ่ายเงินแต่คิดในใจว่าถูกมาก เพราะว่ามีเงินมาก ญี่ปุ่นนี่คนต้อนรับทั่วโลก และชาวนาญี่ปุ่นเป็นชาวนาที่ร่ำรวยมาก เงินมาก ผมเคยถามเพื่อนญี่ปุ่นว่า เงินเดือนอาจารย์กับชาวนาอันไหนมากกว่ากัน เพื่อนตอบว่าเท่า ๆ กัน แต่ชาวนาดีกว่า เพราะมีที่ของตนเอง ชาวนาญี่ปุ่นจะเป็นชาวนาแบบโอชิน ชาวนาเที่ยว PARIS ได้ บริษัท SONY ของญีปุ่นตั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย MR.MORITA ที่เขียนหนังสือ MADE IN JAPAN และโดยพื้นฐานมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นมีงานวิจัยเป็นพื้นฐานอยู่แล้วทำให้เจริญได้ ถ้าอ่านหนังสือ MADE IN JAPAN แล้ว MR.MORITA เรียนอยู่ OSAKA ทำวิจัยเกี่ยวกับอาวุธยังกลับมาหาอาจารย์ปรึกษา ปรึกษาเกี่ยวกับงานวิจัยที่เคยทำสมัยเรียน เพราะฉะนั้นเวลามาตั้ง INDUSTRY จึงไปได้เร็ว MR.MORITA มีหลักให้คนในบริษัททำวิจัย คือทำอย่างไรจึงจะให้อิเล็กทรอนิกส์เข้ามาอยู่ในบ้านคนได้ เริ่มต้นทำวิทยุเล็ก ๆ (WALKMAN)
สมัยก่อนย้ายที่ ไม่ค่อยรวยมีวิทยุอยู่ 3 หลอด บ้านรวยหน่อย 8 หลอด แต่ญี่ปุ่นทำวิทยุให้มีขนาดเล็ก นักวิจัยถามว่าเล็กแค่ไหน MR.MORITA บอกว่าเล็กขนาดเข้ากระเป๋าได้ โดยไปนำเอางานวิจัยที่คนอื่นเขาคิดไว้แล้ว ญี่ปุ่นเวลาเจริญไม่ใช่เจริญจากเริ่มต้น แต่เจริญจากจุดที่คนอื่นทำอยู่แล้ว เช่น ประเทศอื่นผลิต TRANSISTOR แต่ไม่ได้พัฒนา แต่ญี่ปุ่นซื้อ TRANSISTOR มาพัฒนาแทนหลอดจึงทำให้วิทยุเล็กได้ ราคาถูก ทุกคนในโลกมีได้ ไปดูดเงินของคนอื่น เอาการตลาดเข้าไปช่วย ผมไปประเทศออสเตรเลีย ได้กล้องส่องทางไกลโดยเขียนข้างกล่องว่าซื้อหนเดียวใช้ตลอดชาติ ญี่ปุ่นเจริญได้เพราะเอาเทคโนโลยีไปขาย ผมคิดว่าเวลานี้บ้านเมืองเราไม่เจริญหรือเจริญยาก ส่วนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบคือมหาวิทยาลัย
อ่านต่อ


