โครงการได้ทำการศึกษาและรวบรวมข้อมูลผ้าทอพื้นเมืองในด้านกระบวนการผลิตเส้นใย กรรมวิธี/เทคนิคการทอ กระบวนการทำให้เกิดสี ลวดลายผ้า รวมถึงการใช้ผ้า ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสานใต้ ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และนครราชสีมา เพื่อนำมาจัดสร้างเป็นฐานข้อมูล ซึ่งเป็นองค์ความรู้พื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาผ้าทอพื้นเมืองอีสานใต้ในด้านต่าง ๆ
ผ้าซิ่นตีนแดง จังหวัดบุรีรัมย์
จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของจังหวัดที่มีการอนุรักษ์ผ้าทอพื้นเมืองอย่างจริงจัง แม้ว่าจะมีการพัฒนาลายผ้าใหม่อยู่เสมอ ก็ยังคงรักษารูปแบบของผ้าซิ่นตีนแดงที่มีการสืบทอดกันมาแต่โบราณ คำว่า ซิ่นหัวแดงตีนแดง หรือ ซิ่นตีนแดง หรือ ซิ่นหมี่รวด มีการเล่าสืบต่อกันมาว่า ผลิตขึ้นครั้งแรกโดยช่างมือที่ทอผ้าในคุ้มพระยาเสนาสงคราม เจ้าเมืองคนแรกของเมืองพุทไธสง เมื่อประมาณ 200 ปี ซึ่งอยู่แถวบ้านหัวแฮด และบ้านโนนหมากเฟือง (ปัจจุบัน คือ บ้านศีรษะแรด และบ้านมะเฟือง) เชื่อว่า เป็นผ้าซิ่นที่กลุ่มคนเชื้อสายลาวเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นขึ้น (อ้างอิงจากหลักฐานตำนานพระเจ้าใหญ่และการก่อตั้งบ้านศีรษะแรด) ต่อมาได้แพร่ขยายการทอผ้าซิ่นตีนแดงจากบ้านศีรษะแรด และบ้านมะเฟืองไปยังบ้านจาน บ้านแวง และบ้านนาโพธิ์ ลักษณะของผ้าซิ่นตีนแดง คือ ทอด้วยไหมทั้งผืน หัวซิ่นและตีนซิ่นของผ้าจะเป็นสีแดงสด ตอนกลางของผ้าจะเป็นลายมัดหมี่ เรียกว่า หมี่ขอ จะเป็นสีดำ สีน้ำตาลเหลืองทองจะทอเป็นผืนเดียวกัน ไม่ใช้การตัดต่อระหว่างหัวซิ่น ตีนซิ่น และตัวซิ่น ในสมัยโบราณนิยมทอให้เด็กและวัยรุ่นสวมใส่ เพราะเป็นสีที่มีความสดใสมาก โดยใช้ฟืมซาว หรือ ฟืม 20 เป็นผ้าผืนเล็กเหมาะสำหรับเด็กและวัยรุ่น ต่อมามีการพัฒนาปรับปรุงให้เป็นผ้าผืนใหญ่สำหรับผู้ใหญ่ จึงนิยมใช้ฟืม 40 ในการทอ การทำซิ่นตีนแดงถือว่า มีความยุ่งยากมากกว่าการทอผ้าชนิดอื่น โดยเฉพาะการมัดหมี่ ซึ่งเกือบจะมีการสูญหายไป ต่อมามีการนำออกแสดงนิทรรศการในโอกาสต่าง ๆ หลายครั้ง มีการรณรงค์ให้มีการผลิตและใช้แต่งกาย ผ้าซิ่นตีนแดงจึงกลับมาเป็นที่นิยมและเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ในปี 2546 ผ้าซิ่นตีนแดง ก็ถูกเลือกให้เป็นผ้าเอกลักษณ์ของจังหวัดบุรีรัมย์
ผ้าหางกระรอก จังหวัดนครราชสีมา
จังหวัดนครราชสีมา หรือโคราช เป็นเขตพื้นที่ที่ประกอบด้วยกลุ่มคนทั้งคนพื้นถิ่นที่ดำรงชีวิตอยู่ก่อนประวัติศาสตร์ ยุคทวาราวดี ยุคขอม สู่ยุคกรุงศรีอยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ มีทั้งกลุ่มชนไท-ลาว ไท-เขมร ไท-ยวน และไทยภาคกลาง มีการผสมกลมกลืนทางชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมที่หลากหลาย มีภาษาพูดเป็นภาษาโคราช เรียกตนเองว่า ไท-โคราช หรือ คนโคราช ไม่ใช่คนลาว มีภูมิปัญญาในการทอผ้า บ่งความหมายและเอกลักษณ์เฉพาะตน ผ้าหางกระรอก เป็นผ้าของกลุ่มชนไท-ลาว ไท-เขมร ในเขตอีสานใต้ โดยเฉพาะจังหวัดนครราชสีมา ถือเป็นแหล่งที่ผลิตผ้าหางกระรอกได้งดงามที่สุด จัดเป็นผ้าที่มีลวดลายในตัว เกิดจากการทำเส้นพุ่งพิเศษ โดยนำเส้นไหมสองเส้น สองสี มาตีเกลียวควบเข้าให้เป็นเส้นเดียวกัน เรียกว่า เส้นควบ หรือเส้นลูกลาย หรือเส้นหางกระรอก จากนั้นนำไปกรอใส่หลอดใส่กระสวยเป็นเส้นพุ่งวิธีการทอ ถือเป็นลายขัดพื้นฐานบนเส้นยืน เหตุที่นิยมใช้อีกสีหนึ่งให้ต่างจากสองสีที่ใช้ควบกัน ก็เพื่อให้ขัดสีเกิดลวดลายบนเนื้อผ้า ดูเหลือบลายคล้ายเส้นขนของหางกระรอก จึงถูกเรียกว่า ผ้าลายหางกระรอก บางพื้นที่เรียกว่า ผ้าควบ (ตามวิธีทำเส้นพุ่ง) บางพื้นที่เรียกว่า ผ้าวา (ตามความยาวของผ้า ประมาณ 2 วา หรือ 4 เมตร) ส่วนเชิงชายทั้งสองด้าน เรียกว่า ริ้วเชิงชาย เชิงคั่น กั้นหรือก้าน หรือขีดคั่น ทั้งนี้ สันนิษฐานว่า เป็นการทำไว้เพื่อความสวยงาม หรือบอกว่าเป็นส่วนของชายผ้าในสมัยก่อนบรรดาขุนนาง ผู้ดีทั้งหลายนิยมนุ่งผ้าหางกระรอกโจงกระเบนในงานพิธีการ งานบุญ ต่อมา
ขยายสู่ผู้มีฐานะและสามัญชนทั่วไป นอกจากนั้นยังใช้เป็นผ้านุ่งในพิธีกรรม ผ้านุ่งของนาค ผ้าคลุมโลงศพ (เรียกว่า ผ้าปกโลง) และผ้าไหว้ผู้ใหญ่ในงานแต่งงาน จากภาพลักษณ์ของผ้าลายหางกระลอกที่ใช้เป็นผ้านุ่งในกิจกรรมต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะทำเป็นสีเข้ม เช่น สีแดงเข้ม สีเปลือกมังคุด สีเขียวหัวเป็ด สีกรมท่าและอื่น ๆ ในยุคปัจจุบันอาจยังดูไม่เหมาะสมกับการนำมาแปรรูปเพื่อใช้งาน จึงมีหลายหน่วยงานร่วมคิด และออกแบบผ้าหางกระรอกแนวใหม่ ทำให้มีความหลากหลายและสวยงามยิ่งขึ้น สำหรับผ้าลายหางกระรอกแล้ว ถือเป็นผ้าเอกลักษณ์ประจำจังหวัดนครราชสีมา เคยมีคำขวัญประจำจังหวัดว่า นกเขาคารม อ้อยคันร่ม ส้มขี้ม้า ผ้าหางกระรอก
ผ้าลายลูกแก้ว จังหวัดศรีสะเกษ
ผ้าลายลูกแก้ว เดิมชาวบ้านเรียกว่า ผ้าแพรเหยียบ ที่เรียกผ้าแพรเหยียบ ก็เพราะในการทอผู้ทอจะต้องเลือกเหยียบไม้สลับตะกอ ซึ่งมี 4 ตะกอ เพื่อให้ได้ลายผ้าที่เป็นลายเฉพาะของผ้าแพรเหยียบซึ่งก็คือ ลายลูกแก้ว การทอผ้าไหมลายลูกแก้วในจังหวัดศรีสะเกษมีมานานกว่า 200 ปีก่อน เริ่มต้นจากภูมิปัญญาชาวบ้านในการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และสาวเอาเส้นไหม มาทอเป็นผ้าต่าง ๆ เช่น ผ้าโสร่ง ซิ่นคั่น ผ้าหางกระรอก และผ้าไหมลายลูกแก้ว แนวความคิดซึ่งได้มาในตัวผลิตภัณฑ์รังไหม ชาวบ้านเรียกว่า ฝักหลอก มีเส้นใยไหมแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นนอกเรียกว่า ไหมเปลือกนอก เมื่อสาวออกมาจะได้เส้นใยไหมที่มีขนาดใหญ่ หยาบ เรียกอีกอย่างว่า ไหมใหญ่ ชั้นในถัดจากไหมเปลือกนอกเข้าไปจะเป็นเส้นใยขนาดเล็ก ละเอียด มีความวาวกว่าไหมเปลือกนอก เรียกว่า ไหมน้อย จากลักษณะตามธรรมชาติของเส้นใยไหมดังกล่าว เป็นเหตุให้เกิดแนวคิดในการนำเส้นไหมไปใช้ประโยชน์ให้เหมาะกับสภาพการใช้งานไหมเปลือกนอก หรือไหมใหญ่ เมื่อทอเป็นผ้าจะได้ผ้าเนื้อหนา หยาบ เหมาะสำหรับตัดเป็นเสื้อใส่ทำงานที่ต้องสมบุกสมบัน เช่น ใส่ไปทำนา ทำไร่ หรือเดินทางฝ่าแดดลมไปค้าขายในท้องถิ่นห่างไกลออกไป การทอจะนิยมทอด้วยเทคนิคพิเศษเป็นผ้า 4 ตะกอยกดอกเป็นลายลูกแก้ว ซึ่งนอกจากจะทำให้ได้ผ้าที่หนา ทนทานแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงฝีมือผู้ทออีกด้วย ในอดีตชาวบ้านทุกเพศทุกวัยจะนิยมสวมเสื้อไหมลายลูกแก้วย้อมดำมะเกลือในการทำงาน เมื่อถึงฤดูกาลที่มะเกลือมีผลก็จะนำมาย้อมซ้ำ ทำให้ได้เสื้อที่มีความหนา มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเสื้อย้อมดำมะเกลือนี้ชาวบ้านเล่าว่า มีคุณสมบัติพิเศษตรงที่ซักแล้วไม่ต้องรีดสวมใส่ทำงานได้เลย และสามารถสวมใส่ซ้ำได้ถึง 3 วัน โดยไม่มีกลิ่นเหม็นและเหนียวเหนอะหนะจากคราบเหงื่อไคล รักษาผิวพรรณจากแดดลมได้เป็นอย่างดี เดิมชาวบ้านจะใช้ไหมน้อยทอเป็นผ้าโสร่ง ซิ่นคั่น ผ้าหางกระรอกและผ้าไหมมัดหมี่ ไม่นิยมทอเป็นผ้าลายลูกแก้ว ต่อมาได้ไปเห็นการประกวดผ้าไหมลายลูกแก้วที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จึงได้เริ่มใช้ไหมน้อยทอเป็นผ้าลายลูกแก้ว เพื่อส่งเข้าประกวดบ้าง ในปี พ.ศ. 2544 ทางราชการเห็นว่า จังหวัดอุบลราชธานี เลือกผ้าไหมลายกาบบัวเป็นผ้าเอกลักษณ์ของจังหวัด สภาวัฒนธรรมอำเภอบึงบูรพ์ได้เลือก ผ้าลายลูกแก้วบ้านเป๊าะ เป็นผ้าเอกลักษณ์ของอำเภอโดยใช้ชื่อว่า ผ้าลายลูกแก้วบึงบูรพ์ และกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอบึงบูรพ์ ได้เสนอต่อสภาวฒนธรรมจังหวัดศรีสะเกษ ให้ใช้ผ้าลายลูกแก้วบึงบูรพ์เป็นผ้าเอกลักษณ์ของจังหวัดศรีสะเกษ และเพื่อให้เข้ากับต้นไม้ประจำจังหวัดจึงกำหนดให้ผ้าลายลูกแก้วสีดอกลำดวนเป็นผ้าเอกลักษณ์ของจังหวัดศรีสะเกษ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา
ผ้าโฮล และผ้าอัมปรม จังหวัดสุรินทร์
จังหวัดสุรินทร์ เป็นจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์การทอผ้ายาวนาน ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน นิยมนำไหมน้อยหรือไหมชั้นหนึ่งในภาษาเขมรเรียกว่า โชกชัก มีลักษณะเป็นผ้าไหมเส้นเล็ก มีความเรียบ นุ่มสบาย มาใช้ในการทอผ้า เวลาสวมใส่จะรู้สึกเย็นสบาย สำหรับวิธีการทอที่นิยมใช้เป็นวิธีการที่มีความสลับซับซ้อน และยุ่งยาก ต้องใช้ความสามารถและความชำนาญ เช่น การทอผ้าไหมมัดหมี่พร้อมยกดอก ผ้าไหมของจังหวัดสุรินทร์ มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ โดยได้รับอิทธิพลจากกัมพูชา ลวดลายที่ประดิษฐ์มีคุณค่าและมีความหมายที่เป็นมงคล นิยมใช้สีจากธรรมชาติ ทำให้สีดูเข้มขรึม เช่น โทนสีน้ำตาล แดง เขียว ดำ เหลือง มีกลิ่นหอมจากเปลือกไม้ มีการทอที่ประณีต รู้จักใช้ลวดลายต่าง ๆ ผสมผสานเข้าด้วยกัน แสดงถึงคุณค่าทางศิลปะผ้าโฮล หรือการมัดหมี่โฮล หรือจองโฮล (คำว่า จอง ในภาษาเขมรหมายถึง ผูก หรือมัด) เป็นหนึ่งในผ้าไหมมัดหมี่ของจังหวัดสุรินทร์ มัดหมี่โฮลถือเป็นแม่ลายหลักของผ้ามัดหมี่สุรินทร์ที่มีกรรมวิธีการมัดย้อมด้วยวิธีเฉพาะ ส่วนผ้าอัมปรม หรือจองกรา เป็นการมัดหมี่ทั้งเส้นพุ่งและเส้นยืน การมัดหมี่อัมปรมนี้จะทอให้ส่วนที่มัดเป็นกราปะ หรือจุดปะขาวของเส้นยืนมาชนกับจุดปะขาวของเส้นพุ่ง เกิดเป็นเครื่องหมายบวกบนสีพื้น หากทอบนพื้นสีแดงที่ย้อมจากครั่ง จะเรียกว่า อัมปรมครั่ง หากทอบนพื้นสีม่วง ก็จะเรียกว่า อัมปรมปะกากะออม นอกจากจังหวัดสุรินทร์จะมีการมัดหมี่โฮล และมัดหมี่อัมปรมยังมีการมัดหมี่ลายต่างๆ ที่เรียกว่า จองชิน เช่น มัดหมี่ลายธรรมดา หมี่คั่น หมี่โคม มัดหมี่ลายนก ลายพญานาค ลายช้าง ลายม้า ลายพืช ลายต้นสน ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายสับปะรด ลายดอกมะเขือรวมทั้งผ้าลายหางกระรอกหรือผ้าไหมควบ ชาวสุรินทร์ เรียกว่า ผ้ากระนิว
ผ้ากาบบัว จังหวัดอุบลราชธานี
ผ้ากาบบัว จังหวัดอุบลราชธานี จะทอด้วยฝ้ายหรือไหมก็ได้ วิธีการทอประกอบด้วยเส้นยืนย้อมอย่างน้อยสองสีเป็นริ้วตามลักษณะซิ่นทิว ซึ่งซิ่นทิวเคยได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายแถบอุบลราชธานีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังทอเส้นพุ่งด้วยไหมสีมับไม (มับไม คือ เส้นไหมที่ปั่นเกลียวหางกระรอก) มัดหมี่ และ ขิด ส่วนผ้ากาบบัวจก คือ ผ้ากาบบัวอีกแบบหนึ่งที่เพิ่มการจกลายเป็นลวดลายกระจุกดาว หรือเกาะลายดาว วิธีการจกอาจจกเป็นบางส่วนหรือกระจายทั่วทั้งผืนผ้าก็ได้
ผ้ากาบบัว (จก) คือ ผ้าพื้นทิว หรือผ้ากาบบัวเพิ่มการจกลาย เป็นลวดลายกระจุกดาว (บางครั้งเรียกเกาะลายดาว) อาจจกเป็นบางส่วนหรือกระจายทั่วทั้งผืนผ้า เพื่อสืบทอด “ซิ่นหัวจกดาว”อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะผ้าซิ่นเมืองอุบล ผ้ากาบบัว (จก) นี้ เหมาะที่จะใช้ในงานพิธี หรือโอกาสสำคัญผ้ากาบบัว (คำ) คือ ผ้าทอยก บางครั้งเรียก ขิดด้วยไหมคำ (ดิ้นทอง) อาจสอดแทรกด้วยไหมเงินหรือไหมสีต่างๆ ต้องใช้ความประณีตในการทออย่างสูง
รายละเอียดเพิ่มเติม : ผ้าทอพื้นเมืองอีสานใต้
บรรณานุกรม
ประทับใจ สิกขา, หัวหน้าโครงการ. (2554). รายงานโครงการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ฐานข้อมูลผ้าทอพื้นเมืองอีสานใต้. อุบลราชธานี: คณะศิลปประยุกต์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.

