โครงการสำรวจผ้าซิ่นหมี่หัวจกดาว เอกลักษณ์เมืองอุบลเพื่อสืบสานและเป็นฐานข้อมูลในการจัดการเรียนการสอนสาขาสิ่งทอและแฟชั่น มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมองค์ความรู้เรื่องผ้าทอของเมืองอุบล เพื่อการสืบสานภูมิปัญญาด้านการทอผ้า ทั้งด้านเทคนิค ลวดลายและสีสัน อันเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิม โดยมีกระบวนการที่รวบรวมองค์ความรู้ภูมิปัญญาด้านสิ่งทอและมีการเผยแพร่เป็นนิทรรศการให้กับเยาวชน ทำให้เกิดการเรียนรู้และรักษาไว้ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน
ในการดำเนินการได้ใช้หลักการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ การศึกษาวิจัยทางศิลปะสิ่งทอและหลักการเก็บข้อมูลเชิงมานุษยวิทยา โดยสามารถสำรวจรวบรวมข้อมูลสิ่งทอในจังหวัดอุบลราชธานีได้ 2 หมู่บ้านคือ หมู่บ้านหนองบ่อ ตำบลหนองบ่อ อำเภอเมือง และหมู่บ้านลาดสมดี ตำบลกุศกร อำเภอตระการพืชผล ได้พบว่าผ้าซิ่นหมี่หัวจกดาวนั้นมีการใช้ผ้ามัดหมี่ 2 ประเภทคือ ผ้ามัดหมี่คั่น และผ้ามัดหมี่รวด/ลวด โดยส่วนใหญ่จะนิยมทอผ้ามัดหมี่คั่นมากกว่า ลวดลายผ้า
เอกลักษณ์ของเมืองอุบลคือ มัดหมี่คั่นลายปราสาทผึ้ง นอกจากนี้ยังได้พบผ้าซิ่นที่ต่อหัวจกดาวอีก 6 ชนิดคือ ผ้าซิ่นทิว ผ้าซิ่นแล้ ผ้าซิ่นทิวมุกจกดาว ผ้าซิ่นมับไม ผ้าซิ่นคั่น
องค์ความรู้จากรายงานฯ
เทคนิคการทอจก
คำว่า จก นั้นในภาษาไทยท้องถิ่น หมายถึง การควัก ล้วง ขุด คุ้ย ลักษณะของกระบวนการทอผ้าจก คือ จะต้องใช้การควัก ล้วง ดึง เส้น-ด้าย-พุ่งเศษขึ้นลง-เพื่อสร้างลวดลาย ชื่อของผ้าจึงอาจเรียกกิริยาท่าทางของการทอผ้าชนิดนี้ก็ได้
จก เป็นเทคนิคการทำลวดลายบนผืนผ้าด้วยวิธีการเพิ่มด้ายพุ่งพิเศษเข้าไปเป็นช่วง ๆ ไม่ติดต่อกัน ตลอดหน้ากว้างของผ้า โดยใช้ไม้หรือขนเม่นหรือนิ้วมือยกหรือจกด้ายเส้นยืนขึ้น แล้วสอดใส่ด้ายพุ่งพิเศษเข้าไป (ทะนงศักดิ์ ปรางค์วัฒนากุล และ แพทรีเซีย ซีสแมน 2553: 25) จึงสามารถออกแบบลวดลายและสีสันของผ้าจกได้ซับซ้อน และเพิ่มสีสันในลวดลายได้หลากหลายตลอดหน้ากว้างของผ้า แตกต่างจากผ้าลายขิดที่มีข้อจำกัดในการเพิ่มสีสันของเส้นพุ่งพิเศษตลอดหน้ากว้างของผ้าได้เพียงสีเดียว
วิธีการจกแต่ละแห่งอาจจะไม่เหมือนกัน บางแห่งทอจกลายทางด้านหน้าผ้าโดยใช้ขนเม่นนับเส้นยืน และควักเส้นไหมพุ่งขึ้น เพื่อให้เกิดลวดลายหรือดึงด้ายจากข้างล่างสอดสลับไปตามความต้องการ ซึ่งการควักเส้นไหมนั้น ถ้าเป็นผู้ที่มีความชำนาญจะทำได้รวดเร็ว คล้ายอาการฉก ของงู คำว่า จก จึงอาจเพี้ยนมาจากคำว่า ฉก ก็ได้ (เพยาว์ อุ่นศิริ และคณะ, 2531: 18) ส่วนการทอจกของชาวภูไทหรือผู้ไทย จะใช้นิ้วก้อยเป็นดั่งอุปกรณ์ในการควักล้วงเว้นไหม เพื่อเสริมเส้นพุ่งพิเศษในการสร้างลวดลายบนผ้าแพรวา ผ้าแพรมน และผ้าตุ๊ม
หัวซิ่นจกของเจ้านานชั้นสูง มักจะนิยมทำหัวซิ่น “จกดาว” คือ ทำเป็นลายลักษณะคล้ายลายดอกประจำยาม แต่เรียกกันว่า “จกดาว” หรือ “ลายดาว” ซึ่งเป็นลายหัวซิ่นจกที่ใช้แสดงสถานภาพทางสังคมได้อย่างหนึ่ง เพราะทำได้ยากต้องใช้เวลาและความอดทนมากพอสมควร
ส่วนหัวซิ่นจกของชาวบ้านทั่วไปส่วนใหญ่มักจะทำเป็นสีพื้นธรรมดาหรือไม่ก็จะเก็บขิดเป็นลวดลายขนาดเล็ก ๆสีเดียว แต่ทั้งนี้ก็มีชาวบ้านบางคนทำหัวซิ่นลายจกดาวใช้กันบ้างเหมือนกันในวิถีชีวิตดั้งเดิมนั้น นิยมนุ่งผ้าซิ่นตีนจกเฉพาะในโอกาสสำคัญ ๆ อาทิ งานแต่งงาน และงานบุญประเพณี ผู้ทอผ้าจึงนิยมทอลวดลายสวยงาม ซับซ้อน เพื่ออวดฝีมือให้ผู้อื่นได้ชื่นชม การที่หญิงสาวสามารถทอผ้าจกที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่าการทอผ้าเทคนิคพื้นฐานอื่น ๆ ก็ได้รับการยอมรับว่าก้าวผ่านสภาวะของเด็กหญิงเข้าสู่สภาวะของหญิงสาวที่สมบูรณ์ มีคุณสมบัติของกุลสตรีพร้อมที่จะเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี
รายละเอียดเพิ่มเติม : การสำรวจผ้าซิ่นหมี่หัวจกดาว เอกลักษณ์เมืองอุบลเพื่อสืบสานและเป็นฐานข้อมูลในการจัดการเรียนการสอนสาขาสิ่งทอและแฟชั่น รายงานโครงการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปี 2553
บรรณานุกรม:
สิทธิชัย สมานชาติ, หัวหน้าโครงการ. (2553). รายงานโครงการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี การสำรวจผ้าซิ่นหมี่หัวจกดาว เอกลักษณ์เมืองอุบลเพื่อสืบสานและเป็นฐานข้อมูลในการจัดการเรียนการสอนสาขาสิ่งทอและแฟชั่น. อุบลราชธานี: คณะศิลปประยุกต์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.