Loading

การศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่นจากกลอนลำซิ่ง

รายงานได้ให้ข้อมูลก่อนจะเป็นลำซิ่ง กลอนลำแบบต่าง ๆ วัฒนธรรมที่สื่อจากกลอนลำซิ่ง ประวัติของหมอลำ เช่น หมอลำทองมาก จันทะลือ หมอลำเคน ดาเหลา นางฉวีวรรณ พันธุ และตัวอย่างกลอนลำ และได้สรุปวิวัฒนาการของหมอลำตามลำดับ โดย กนกวรรณ มะโนรมณ์ ในรายงานโครงการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปี 2541 เรื่อง การศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่นจากกลอนลำซิ่ง

จากการศึกษาภาพรวมของกลอนลำจากลำกลอนถึงลำซึ่งปรากฏว่าความเจริญก้าวหน้าของหมอลำก็คงเหมือนกับความเจริญก้าวหน้าของสิ่งอื่น ๆ เริ่มแรก คงเกิดจากผู้เฒ่าผู้แก่เล่านิทาน นิทานที่นำมาเล่าเกี่ยวกับจารีตประเพณีและศีลธรรม โดยเรียกลูกหลานให้มาชุมนุมกัน ทีแรกนั่งเล่า เมื่อลูกหลานมาฟังกันมากจะนั่งเล่าไม่เหมาะ ต้องยืนขึ้นเล่า เรื่องที่นำมาเล่าต้องเป็นเรื่องที่มีในวรรณคดี เช่น เรื่องกาฬเกษ สินชัย เป็นต้น ผู้เล่าเพียงแต่เล่า ไม่ออกท่าออกทางก็ไม่สนุก ผู้เล่าจึงจำเป็นต้องยกไม้ยกมือแสดงท่าทางเป็นพระเอก นางเอก เป็นนักรบ เป็นต้น เพียงแต่เล่าอย่างเดียวไม่สนุก จึงจำเป็นต้องใช้สำเนียงสั้นยาว ใช้เสียงสูงต่ำ ประกอบ และหาเครื่องดนตรีประกอบ เช่น ซุง ซอ ปี่ แคน เพื่อให้เกิดความสนุกครึกครื้น ผู้แสดงมีเพียงแต่ผู้ชายอย่างเดียวดูไม่มีรสชาติเผ็ดมัน จึงจำเป็นต้องหาผู้หญิงมาแสดงประกอบ เมื่อผู้หญิงมาแสดงประกอบจึงเป็นการลำแบบสมบูรณ์ เมื่อผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องต่าง ๆ ก็ตามมา เช่น เรื่องเกี้ยวพาราสี เรื่องจากการมีหมอลำชายเพียงคนเดียวค่อย ๆ พัฒนาต่อมาจนมีหมอลำฝ่ายหญิง มีเครื่องดนตรีประกอบจังหวะเพื่อความสนุกสนาน จนกระทั่งเพิ่มผู้แสดงให้มีจำนวนเท่ากับตัวละครที่มีในเรื่อง มีพระเอก นางเอก ตัวโกง ตัวตลก เสนา ครบถ้วน ซึ่งพอจะแบ่งยุคของวิวัฒนาการได้ดังนี้

  • ลำโบราณ เป็นการเล่านิทานของผู้เฒ่าผู้แก่ให้ลูกหลานฟัง ไม่มีท่าทาง และดนตรีประกอบ
  • ลำคู่หรือลำกลอน เป็นการลำที่มีหมอลำชายหญิงสองคนลำสลับกัน มีเครื่องดนตรีประกอบ คือ แคน การลำมีทั้งลำเรื่องนิทานโบราณคดีอีสาน เรียกว่า ลำเรื่องต่อกลอน ลำทวย (ทายโจทย์) ปัญหา ซึ่งผู้ที่จะต้องมีปฏิภาณไหวพริบที่ดี สามารถโต้ตอบยกเหตุผลมาหักล้างฝ่ายตรงข้ามได้ ต่อมามีการเพิ่มผู้ลำขึ้นอีกหนึ่งคน อาจเป็นชายหรือหญิงก็ได้ การลำจะเปลี่ยนเป็นเรื่อง ชิงรักหักสวาท ยาดชู้ยาดผัว เรียกว่า ลำชิงชู้
  • ลำหมู่ เป็นการลำที่มีผู้แสดงเพิ่มมากขึ้น จนเกือบจะครบตามจำนวนตัวละครที่มีในเรื่อง มีเครื่องดนตรีประกอบเพิ่มขึ้น เช่น พิณ (ซุง หรือ ซึง) กลอง การลำจะมี 2 แนวทาง คือ ลำเวียง จะเป็นการลำแบบลำกลอน หมอลำแสดง เป็นตัวละครตามบทบาทในเรื่อง การดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า แต่ก็ได้อรรถรสของละครพื้นบ้าน หมอลำได้ใช้พรสวรรค์ของตัวเองในการลำ ทั้งทางด้านเสียงร้อง ปฏิภาณไหวพริบ และความจำเป็นที่นิยมในหมู่ผู้สูงอายุ ต่อมาเมื่อดนตรีลูกทุ่งมีอิทธิพลมากขึ้นจึงเกิดวิวัฒนาการของลำหมู่อีกครั้งหนึ่ง กลายเป็น ลำเพลิน ซึ่งจะมีจังหวะที่เร้าใจชวนให้สนุกสนาน ก่อนการลำเรื่องในช่วงหัวค่ำจะมีการเอารูปแบบของวงดนตรีลูกทุ่งมาใช้เรียกคนดู กล่าวคือ จะมีนักร้อง (หมอลำ) มาร้องเพลงลูกทุ่งที่กำลังฮิตในขณะนั้น มีหางเครื่องเต้นประกอบ นำเอาเครื่องดนตรีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ เช่น กีตาร์ คีย์บอร์ด แซ็กโซโฟน ทรัมเปต และกลองชุด โดยนำมาผสมผสานเข้ากับเครื่องดนตรีเดิม ได้แก่ พิณ แคน ทำให้รสชาติของดนตรีที่แปลกออกไป ยุคนี้นับว่า หมอลำเฟื่องฟูมากที่สุด คณะหมอลำดัง ๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบจังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม อุบลราชธานี

  • ลำซิ่ง หลังจากที่หมอลำคู่และหมอลำเพลินค่อย ๆ เสื่อมความนิยมลงไป อันเนื่องมาจากการก้าวเข้มาของเทคโนโลยีวิทยุโทรทัศน์ ทำให้ดนตรีสตริงเข้ามาแทรกในวิถีชีวิตของผู้คนอีสาน ความนิยมของการชมหมอลำค่อนข้างลดลงอย่างเห็นได้ชัด จนเกิดความวิตกกังวลกันมากในกลุ่มนักอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน แต่แล้วมนต์ขลังของหมอลำก็ได้กลับมาอีกครั้งด้วยรูปแบบที่สะเทือนวงการด้วยการแสดงที่เรียกว่า ลำซิ่ง ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของลำคู่ (เพราะใช้หมอลำ 2-3 คน) ใช้เครื่องดนตรีสากลเข้าร่วมให้จังหวะเหมือนลำเพลิน มีหางเครื่องเหมือนดนตรีลูกทุ่ง กลอนลำสนุกสนานมีจังหวะอันเร้าใจ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งระบาดไปสู่การแสดงพื้นบ้านอื่นให้ต้องประยุกต์ปรับตัว เช่น เพลงโคราชกลายมาเป็นเพลงโคราชซิ่ง กันตรึมก็กลายเป็นกันตรึมร็อค หนังปราโมทัย (หนังตะลุงอีสาน) กลายเป็น ปราโมทัยซิ่ง ถึงกับมีการจัดประกวดแข่งขัน บันทึกเทปโทรทัศน์จำหน่ายกันอย่างแพร่หลาย จนถึงกับ มีบางท่านถึงกับกล่าวว่า “หมอลำไม่มีวันตายจากลมหายใจชาวอีสาน”

ประเภทกลอนลำ

กลอนลำที่พบมีอยู่ 2 ประเภท คือ

  • กลอนสั้น คือ คำกลอนที่สั้น ๆ ใช้สำหรับลำเวลามีงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น งานทำบุญบ้าน หรืองานประจำปี เช่น งานบุญเดือนหก กลอนสั้น เช่น กลอนขึ้นลำ กลอนลงลำ กลอนลำเหมิดคืน กลอนโต้น กลอนติ่ง กลอนต่ง กลอนอัศจรรย์ กลอนสอย กลอนหนังสือเจียง กลอนเต้ยหรือผญา ลำสีพันดอน ลำสั้น เรื่อง ติดเสน่ห์
  • กลอนยาว คือ กลอนสำหรับใช้ลำในงานการกุศล งานมหรสพต่าง ๆ กลอนยาวนี้ใช้เวลาลำเป็นชั่วโมงบ้าง ครึ่งชั่วโมงบ้าง หรือแล้วแต่กรณี ถ้าลำคนเดียว เช่น ลำพื้น หรือ ลำเรื่อง ต้องใช้เวลาลำเป็นวัน ๆ คืน ๆ ทั้งนี้แล้วแต่เรื่องที่จะลำสั้นหรือยาวแค่ไหน แบ่งออกเป็นหลายชนิด เช่น กลอนประวัติศาสตร์ กลอนลำพื้นหรือลำเรื่อง กลอนเซิ้ง กลอนส้อง กลอนเพอะ กลอนล่องของ กลอนเว้าสาว กลอนฟ้อนแบบต่าง ๆ

กลอนลำซิ่งนั้นเป็นหมอลำประยุกต์ เป็นการลำกลอนแนวใหม่ซึ่งมีรูปแบบการแสดงที่ประกอบด้วย การลำ การร้อง การฟ้อน และการเต้น คำว่า ซิ่ง น่าจะมาจากภาษาอังกฤษว่า racing ซึ่งแปลว่า การแข่งขัน ลำซิ่งจึงเป็นการลำที่ใช้ลีลาจังหวะในการลำการเต้นที่รวดเร็ว ใช้ทำนองลำเดิน (ลำย่าว) ซึ่งเป็นทำนองทางสั้นวาดวาดขอนแก่นเป็นทำนองหลัก แต่ใช้สำเนียงแบบลำทางยาว ลำซิ่งเป็นทำนองในการลำที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเดิมทีเดียวเกิดขึ้นในลำเพลินก่อน เนื่องจากมีการนำดนตรีสากลพวกกลองชุดเข้ามาบรรเลงประกอบการแสดง พร้อมทั้งในทำนองลำเพลิน ลำเดิน ลำเต้ย และเพลงลูกทุ่งประกอบ ผู้แสดงประกอบด้วยหมอลำฝ่ายหญิงและฝ่ายชายอย่างละ 1 คน เหมือนหมอลำกลอนแต่ลำซิ่งจะมีหางเครื่องเต้นประกอบซึ่งมีทั้งชายและหญิง คณะละ 2 คน การแต่งกายหมอลำฝ่ายชายจะแต่งกายชุดสากล ส่วนหมอลำฝ่ายหญิงจะสวมกระโปรงบานเพื่อให้ความสะดวกในการเต้นกลอนที่ใช้ลำเหมือนกลอนลำของกลอนลำให้ทั้งสาระทางคดีโลกและคดีธรรม ดนตรีที่ใช้ประกอบ นอกจากแคนซึ่งเป็นเครื่องดนตรีหลักแล้ว ยังมีดนตรีสากล เช่น กลองชุด กลองทอม เบส กีตาร์ เข้ามาร่วมบรรเลงประกอบการแสดงด้วย ลำซิ่งได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะมีท่วงทำนองคึกคักสนุกสนานและให้สาระอันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอีกด้วย

นอกจากนี้ การเกิดขึ้นมาของกลอนลำซิ่งยังมีทั้งยอมรับและปฏิเสธจากสังคมเนื่องจากมองว่าเป็นการทำลายศิลปะหมอลำพื้นบ้าน ส่วนที่ยอมรับกันได้นั้นเนื่องจากลอนลำซิ่งได้เน้นเนื้อหาสาระเพื่อการจรรโลงใจ ส่งเสริมการพัฒนาด้านต่าง ๆ เช่น การท่องเที่ยว (อาหาร การแสดงพื้นบ้าน เป็นต้น) หรือนำมาเป็นสื่อประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสินค้าต่าง ๆ รวมทั้งถูกนำมาประยุกต์เนื้อหาเพลงจนโด่งดัง เช่น เพลงร็อกต่าง ๆ ในวงการเพลงลูกทุ่ง กล่าวโดยสรุป พัฒนาการของกลอนลำได้ปรับไปตามยุคสมัยเพื่อสอดคล้องกับกระแสการบริโภคหมอลำแนวใหม่ของผู้บริโภคขณะเดียวกันเพื่อความอยู่รอดของศิลปินเช่นกัน

วัฒนธรรมที่สื่อจากกลอนลำซิ่ง สามารถพบได้ 3 ลักษณะเด่น ๆ ได้แก่
1. คนอีสานเป็นคนสนุกสนานและปรับตัวเข้ากับยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลงเพราะได้ประยุกต์เนื้อหาของกลอนลำซิ่งมาให้เข้ากับสภาพเศรษฐกิจสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการท่องเที่ยว การแต่งกาย อาหาร สินค้าท้องถิ่น
2. กลุ่มอนุรักษ์หมอลำอีสานหลายกลุ่มไม่เห็นด้วยกับกลอนลำและหมอลำซิ่งเพราะส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมอันดี เนื่องจากสื่อออกไปเรื่องเพศและการแต่งกายของคณะหมอลำที่ล่อแหลม ยั่วยุทางเพศ และนำมาสู่การตีกันของวัยรุ่น
3. กลอนลำซึ่งสะท้อนการต่อสู้ของคนอีสานในรูปแบบต่าง ๆ การทำมาหากิน การปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

รายละเอียดเพิ่มเติม : การศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่นจากกลอนลำซิ่ง

บรรณานุกรม

กนกวรรณ มโนรมย์. (2541). รายงานโครงการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี การศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่นจากกลอนลำซิ่ง. อุบลราชธานี: มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี