Loading

พิธีกรรมประจำชีวิตคนอีสาน: การตาย

tagbart2

ชีวิตขั้นสุดท้าย คือ การตาย คำว่าตายได้แก่ การสิ้นลมหายใจ ร่างกายของคนตาย เรียก ซากศพ คำว่า ศพ เป็นคำไทย ภาษาบาลีว่า ฉว สันสกฤตว่า ศว แปลว่า ศพ ประเพณีเกี่ยวกับศพ มีดังนี้

เทวทูต คนใช้ของเทวดา หรือสิ่งที่ปรากฏอยู่รอบๆ ตัวเราเรียก เทวทูตมี 5 อย่าง คือ

  1. ความเกิด
  2. ความแก่
  3. ความเจ็บ
  4. ความต้องโทษ
  5. ความตาย

 เมื่อเห็นคนแก่ เจ็บ คนต้องโทษ และคนตาย พระศาสนาสอนให้คนน้อมนึกมาใส่ตัว จนเกิดความสลดใจ ไม่กล้าทำกรรมอันเป็นบาป ถ้าไปพิจารณาในเวลาคางแข็ง หรือเขียนคาถาเทวทูตใส่ปากคนตายเทวทูตจะช่วยอะไรไม่ได้

คาถาเทวทูต

  1. อหัมปิ โขมหิ ชาติธัมโม ชาติง อนตีโต หันทาหัง กัลยาณัง กโรมิ กาเยน วาจาย มนสาฯ
    เรามีความเกิดเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเกิดไปไม่ได้ เอาเถอะ เราจะรีบทำความดีด้วย กาย วาจา ใจ ก่อนตาย
  2. อหัมปิ โขมหิ ชราธัมโม ชรัง อนตีโต หันทาหัง กัลยาณัง กโรมิ กาเยน วาจาย มนสาฯ 
    เรามีความแก่เป็นธรรมดาจะล่วงพ้น
  3. อหัมปิ โขมหิ พยาธิธัมโม พยาธิง อนตีโต หันทาหัง กัลยาณัง กโรมิ กาเยน วาจาย มนสาฯ 
    เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาจะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ เอาเถอะเราจะรีบทำความดีด้วย กาย วาจา ใจ ก่อนตาย
  4. เย กิร โภ ปาปานิ กัมมานิ กโรนติ เต ทิฏเฐว ธัมเม เอวรูปา วิวิธา กัมมการณา กริยันติ กิมังคัง ปรัตถ หันทาหัง กัลยาณัง กโรมิ กาเยน วาจาย มนสาฯ 
    คนที่ทำกรรมชั่ว จะถูกเขาทำกรรมต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ในปัจจุบันทันตาเห็นไม่ต้องรอถึงชาติหน้า เอาเถอะเราจะรีบทำความดี ด้วยกาย วาจา ใจ ก่อนตาย
  5. อหัมปิ โขมหิ มรณธัมโม มรณัง อนตีโต หันทาหัง กัลยาณัง กโรมิ กาเยน วาจาย มนสาฯ
    เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้เอาเถอะเราจะรีบทำความดีด้วยกาย วาจา ใจก่อนตายบอกทางสวรรค์ ถ้าคนป่วยมีอาการหนักจวนจะสิ้นลมหายใจ เขาจัดดอกไม้ธูปเทียนให้คนป่วยประณมมือถือเตือนให้ระลึกถึงคุณพระ

            ทางคดีโลก ถือว่าให้นำเครื่องสักการะนั้นไปไหว้พระธาตุเกษแก้วจุฬามณีเจดีย์ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 
            ทางคดีธรรม สอนให้คนรู้จักไหว้พระ อย่าอยู่โดยไม่รู้จักให้ทานรักษาศีลภาวนา

อาบน้ำศพ 

ศพที่ถูกฆ่าตาย ตกน้ำตาย ตกต้นไม้ตาย เป็นต้น ถือว่า ตายโหง ไม่นิยมอาบน้ำศพ เพียงแต่มัดแล้วนำไปฝังที่ป่าช้า เพราะถือว่าตายไม่บริสุทธิ์ ที่ไม่เผาเพราะกลัวจะเกิดความเดือดร้อนแก่ญาติพี่น้อง แต่ถ้าเป็นการตายธรรมดานิยมอาบน้ำด้วยน้ำหอม
            ทางคดีโลก ถือว่าอาบเพื่อปราศจากมลทิน
            ทางคดีธรรม ถือว่าสอนให้คนเป็นเอาศิล สมาธิ ปัญญาเป็นน้ำอาบ กาย วาจา ใจ ให้สะอาด

หวีผมศพ

การหวีผมให้ศพ หวีไปข้างหลังครึ่งหนึ่ง ข้างหน้าครึ่งหนึ่ง 
            ทางคดีโลก ถือว่าหวีสำหรับคนตายและคนเกิดเมื่อหวีแล้ว หักออกเป็นสองท่อนทิ้งเสีย
            ทางคดีธรรม ถือว่าเป็นการเตือนให้พิจารณาว่า ความเกิดกับความตาย เป็นของคู่กัน เกิดแล้วต้องตาย ตายแล้วต้องเกิด ผู้ที่ไม่ตายคือผู้ที่ไม่เกิด

นุ่งห่มผ้าศพ

ใช้ผ้าขาวนุ่งสองชั้น ชั้นในเอาชายพกไว้ข้างหลัง ชั้นนอกเอาชายพกไว้ข้างหน้า แล้วห่มผ้าเฉลียงบ่า
            ทางคดีโลก ถือว่า นุ่งเอาชายพกไว้ข้างหลังเป็นการนุ่งของคนตาย นุ่งเอาชายพกไว้ข้างหน้าเป็นการนุ่งของคนเป็น
            ทางคดีธรรม ถือว่า ที่นุ่งผ้าขาวเป็นการสอนให้มีสุจริต เพราะสุจริตเป็นธรรมที่ขาว

รดน้ำหอมศพ

  เมื่อยกศพขึ้นบนเตียงแล้ว เอามือขวาของศพยื่นออกไปบนเตียง เอาหมอนใบเล็กๆ รองหันหัวศพ ไปทางทิศตะวันตกใช้น้ำอบน้ำหอมรด ถ้าผู้ตายเป็นพ่อแม่ ลูกหลานจะนำขมิ้นทาที่หน้าและเท้าพิมพ์ไว้เคารพบูชา
            ทางคดีโลก ถือว่า เป็นการแสดงความเคารพต่อศพ และให้ศพมีกลิ่นหอม
            ทางคดีธรรม ถือว่า สอนให้เคารพต่อบุคคล วัตถุ สถานที่ และให้รักษาศิลเพราะศิลมีกลิ่นหอมกว่ากลิ่นน้ำอบน้ำหอม

เงินใส่ปากศพ

เงินใส่ปากศพใช้เงินฮาง เงินเหรียญเงินบาท 
            ทางคดีโลก ถือว่าให้ค่าเสบียงอาหาร ค่ารถ ค่าเรือ แก่ผู้ตายสำหรับเดินทางไปสวรรค์
            ทางคดีธรรม ถือว่าสอนคนเป็นให้รู้จักใช้เงินให้เป็นประโยชน์ อย่าตระหนี่ ถี่เหนียว ไม่รู้จักกินรู้จักใช้เวลาตายไปเขาเอาเงินยัดใส่ปาก ก็เอาไปไม่ได้ ปล่อยให้เขาแย่งกันชุลมุนวุ่นวาย

คำหมากใส่ปากศพ

ผู้ชอบกินหมาก เขาก็ตำหมากใส่ปากให้ 
            ทางคดีโลก ถือว่าเป็นการแก้ทุกข์ ถ้าได้กินจิตใจก็สบาย
            ทางคดีธรรม สอนให้คนรู้ตัวว่าคนตายเป็นอย่างนี้ เวลาเป็นอยากกินอยากเคี้ยวเวลาตายเอาใส่ปากให้ก็ไม่กิน ไม่เคี้ยว

ปิดตาปิดปาก

เขาใช้ขี้ผึ้งดีปิดตาปิดปากศพ
            ทางคดีโลก ถือว่าเพื่อป้องกันความอุจาด ลามก
            ทางคดีธรรม ถือว่าเป็นการสอน คนเป็น ให้รู้จักระวังรักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าให้ทุกข์เกิดขึ้นเพราะทุกข์ที่เกิดขึ้นเกิดจากไม่สำรวมสิ่งเหล่านี้

มัดศพ

ใช้เชือกหรือด้ายมัดศพ 3 เปราะ คือที่ คอ 1 มือ 1 เท้า 1 
            ทางคดีโล ถือว่าเพื่อกัน มิให้ศพพองขึ้นดันโลงแตก 
            ทางคดีธรรม ถือว่าเครื่องผูกมัดคนมี 3 คือ

  1. ปุตโต คีเว เชือกคือลูกมัดที่คอ
  2. ธนัง ปาเท เชือกคือสมบัติมัดที่เท้า
  3. ภริยา หัตเถ เชือกคือเมียมัดที่มือ

ตรงกับภาษิตโบราณว่าไว้ว่า "ตัณหาฮักลูกเหมือนดังเชือกผูกคอ ตัณหาฮักเมียเหมือนดังปอผูกศอก ตัณหาฮักเข้าของเหมือนดังปอกสุบตีน ตัณหาสามอันนี้มาขีนให้เป็นเชือก ให้กลิ้งเกลือกอยู่ในวัฏะสงสาร"

ปูฟากศพ

เอาไม้ไผ่ยาวขนาดโลงสับติดกันเป็นฟากให้ได้ประมาณ 7 ซี่ หรือใช้ไม้ไผ่ 7 ซีก ถักด้วยเชือกหรือหวาย ปูฟากแล้วเอาศพใส่ 
            ทางคดีโลก ถือว่าให้ไฟลอดขึ้นไหม้ศพได้ง่าย 
            ทางคดีธรรม ถือว่าให้เดินตามทางวิสุทธิมรรค 7 ผู้เดินตามทางสายนี้ ถึงที่หมายง่ายไม่เสียเวลา เหมือนศพที่ปูด้วยฟาก 7 ซี่ ไฟไหม้ง่ายฉะนั้น

บันไดสามขั้น

 บันไดทำด้วยก้านกล้วยหรือ ไม้ไผ่ผูกเป็นสามชั้นเหมือนบันไดธรรมดา ขนาดกว้างเท่ากับ ปากโลง วางไว้ข้างนอกหรือในโลงก็ได้ 
            ทางคดีโลก ถือว่าให้ผู้ตายขึ้นลงได้ง่าย และให้พาดบันได้นี้ขึ้นไปไหว้ธาตุเกษแก้วบนสวรรค์ 
            ทางคดีธรรม ถือว่าบันไดพาดบันได 3 ขั้น หมายถึง ภพ 3 คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เป็นสถานที่อยู่ของสัตว์ซึ่งจะเกิด ๆ ตาย ๆ

death

ตั้งศพ

ศพนั้นจะใส่ในโลงหรือไม่ก็ตามจะตั้งไว้ในที่ใดก็ตามต้องหันหัวศพไปทางทิศตะวันตกเสมอ
            ทางคดีโลก ถือว่าการนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกนอนอย่างผีหันไปทางทิศตะวันออกนอนอย่างคน
            ทางคดีธรรม ถือว่าสอนให้พิจารณาว่า การตายคือการเสื่อมไป สิ้นไป ตกไปเหมือนกับพระอาทิตย์ตกไป

death2

ตามไฟศพ

จุดตะเกียงหรือไต้ไว้ทางหัวและเท้าศพตลอดคืน
            ทางคดีโลก ถือว่าจุดไว้แทนไฟธาตุผู้ตายบ้าง จุดไว้กันความกลัวบ้าง
            ทางคดีธรรม ถือว่าสอนให้คนมีปัญญาเพราะปัญญานั้นเป็นแสงสว่างในโลก ที่โลกเจริญรุ่งเรืองเกิดเพราะปัญญา

ดับไฟศพ

เมื่อพระมาติกาจบแต่ละครั้ง จะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ตามนิยมดับเทียนหรือตะเกียงชั่วคราว
            ทางคดีโลก ถือว่าเป็นการดับเสนียดจัญไร หรือดับความอาภัพ อัปมงคลให้สูญสิ้นไป
            ทางคดีธรรม ถือว่าดับไฟเปรียบเหมือนตาย จุดไฟเปรียบเหมือนเกิด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วจะต้องตาย ที่ไม่ตายไม่มี จะผิดแผกแตกต่างกันบ้างก็ที่เร็วหรือช้าเท่านั้น

การเลี้ยงศพ

ถึงเวลารับประทานอาหารเช้าเย็น เขาจะจัดอาหารคาว หวาน หมาก พลู บุหรี่ มาตั้งไว้ทางหัวโลงแล้วเอามือเคาะโลงปลุกให้ตื่นขึ้นมากิน
            ทางคดีโลก ถือว่าเป็นการเลี้ยงผู้ตาย
            ทางคดีธรรม ถือว่าสอนคนเป็นให้รู้สึกสำนึกตัวอย่าทำบาป ทำกรรม เพราะกินเช่น ฆ่าเขาลักเขามากิน เป็นต้น เวลาตายแล้วมดกินแทน

death3

งันเฮือนดี

เฮือนที่มีศพอยู่ เรียก เฮือนดี ที่เรียกเช่นนั้นถือเอานิมิตของผู้มา คือ บรรดาญาติ พี่น้องเมื่อได้ยินข่าวใครตายลงจะพากันนำข้าวของเงินทองมาช่วยเหลือ มาคบงันจนงานเสร็จ

สวดมาติกา

ก่อนจะเอาศพใส่ในโลง นิมนต์พระสงฆ์มา มาติกาทั้งเช้าและค่ำ เวลาจะมาติกา เจ้าภาพ จุดธูปเทียนบูชาศพ แล้วอาราธนาศีล 5 เอามือเคาะโลงบอกให้ผู้ตายมารับศิลด้วย เสร็จแล้วพระสงฆ์สวดมาติกา
            ทางคดีโลก ถือว่าการให้ศีล และสวดมาติกานั้นเป็นการให้บุญแก่ผู้ตาย
            ทางคดีธรรม ถือว่าเป็นการสอนให้คนเป็นให้รู้จักรับศีลกินทานเสียแต่เมื่อยังเป็นคน เวลาตายไปแล้วจะทำอะไรไม่ได้ แม้เขาจะปลุกให้ตื่นขึ้นมารับศีลก็ลุกไม่ได้ นี่คือคนตาย

death4

สวดยอดมุข

ยอดมุข คือ ยอดธรรม ยอดธรรมได้แก่ พระอภิธรรมพระที่นิมนต์ไปสวดมาติกาและยอดมุขเป็นจำพวกเดียวกัน แต่เวลาสวดแบ่งหน้าที่กันสองรูปสวดยอดมุขนอกนั้นสวดมาติกา การสวดก็สวดไปพร้อมกันและจบพร้อมกัน
            ทางคดีโลก ถือว่าการสวดมาติกา และยอดมุขเป็นการให้บุญแก่ผู้ตาย
            ทางคดีธรรม ถือว่าเป็นการชดใช้บุญคุณของท่านผู้มีพระคุณ เช่น พระพุทธเจ้าไปโปรดพระมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แสดงพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ โปรดเป็นการชดใช้ค่าข้าวป้อน และน้ำนม

ยกศพออกจากเรือน

ผู้ป่วยนอนตายอยู่ในห้องใดก็ตั้งศพไว้ห้องนั้น เมื่อจะยกศพลงจากเรือนไม่ให้ลอดขื่อเปิดฝาห้องนั้น แล้วยกออกมาทางระเบียงลงนอกชาน

death5

รดน้ำศพ

เมื่อยกศพออกจากเรือนแล้ว พระท่านจะสวดทำน้ำมนต์ เจ้าของบ้านเอาน้ำมนต์ รดจากที่ตั้งศพออกไปเทหม้อน้ำกินน้ำใช้คว่ำปากหม้อไว้ การทำดังนี้ถือว่าน้ำเก่าเป็นน้ำที่ไม่บริสุทธิ์ให้เททิ้งเสีย ถ้าผู้ตายเป็นพ่อแม่เขาจะเอากระดานปูเรือน 2-3 แผ่นมาต่อโลงให้ถือว่า ได้แบ่งเรือนให้พ่อแม่ที่ตายไปได้มีที่อยู่อาศัย พลิกและผูกบันได พอยกศพลงถึงพื้นดินแล้วพลิกบันไดแล้วเอาเรียวหนามผูกปลายติดกันติดไว้ที่ประตูเรือน พอยกศพออกไปแล้วถอนกิ่งไม้นั้นออก
            ทางคดีโลก ถือว่าทำเพื่อป้องกันมิให้ผีจำเรือนของตนได้
            ทางคดีธรรม ถือว่าสอนให้คนเป็นพิจารณาว่าความยึดมั่นว่า นั่นเรา นั่นของเรา นั่นเป็นตนตัวของเรา

ส่งสะการศพ

ดอกไม้ธูปเทียนเรียกเครื่องสักการะก่อนจะยกศพลงจากเรือน ลูกหลานของผู้ตาย จัดเครื่องสักการะไปเคารพศพส่วนญาติพี่น้องคนอื่นๆ นำเครื่องสักการะไปเคารพที่ป่าช้า การกระทำทั้งนี้ ถือว่า หากได้พลาดพลั้งต่อผู้ตาย ผู้ตายจะได้ยกโทษให้หากมิได้ประมาทพลาดพลั้ง ก็ชื่อว่าได้บำเพ็ญกุศล เคารพต่อวุฒบุคคลอีกโสดหนึ่ง

death6

การหามศพ

ไม้หามใช้ไม้ไผ่บ้าน 2 ลำ เอาโลงขึ้นตั้งขันด้วยตอกชะเนาะหามข้างละ 3-4 คน เอาเท้าศพไปก่อนห้ามพักกลางทาง ห้ามเปลี่ยนบ่า ห้ามข้ามนา ข้ามสวน ที่ทำดังนี้ด้วยถือว่าเป็นของคะลำ

death7

การจูงศพ

ใช้ด้ายหรือเชือกจูงศพ ถ้าผู้ตายมีลูกหลานเป็นผู้ชาย ก็ให้บวชเป็นพระหรือเณร เป็นหญิงให้นุ่งขาวห่มขาวบวชเป็นชีจูงศพไปป่าช้า เมื่อแจกข้าวแล้วจึงสึก หรือจะอยู่ไปตลอดก็ได้ 
            ทางคดีโลก ถือว่าเกิดมาทั้งทีไม่เสียชาติเกิด มีลูกชายลูกหญิงได้บวชจูงไปถึงป่าช้า
            ทางคดีธรรม ถือว่าสอนให้ลูกจูงพ่อแม่ขึ้นจากหลุมลึกด้วยการสอนให้พ่อแม่มีศิลธรรมอันดี

death8

หว่านข้าวสาร

 เมื่อหามศพออกจากบ้านมีการหว่านข้าวสารไปตลอดทาง 
            ทางคดีโลก ถือว่าให้ผีลงมาเก็บกินข้าวสาร เวลาหามศพไปจะได้ไม่หนัก
            ทางคดีธรรม ถือว่าสอนคนเป็นให้พิจารณาดูว่าข้าวสารคือแก่นข้าว คนเราถ้าถึงแก่นคน ก็ไม่ต้องเกิดตายอีก ข้าวสารก็เหมือนกันจะเอาไปเพาะปลูกก็ไม่เกิดอีก

หว่านข้าวตอกแตก

ข้าวเปลือกที่ใช้คั่วด้วยไฟให้แตกเรียกข้าวตอกแตก ข้าวนี้ใช้โรยไป ตลอดทางเหมือนข้าวสาร
            ทางคดีโลก ถือว่าให้ผีอยู่ในโลงลงมาเก็บกิน
            ทางคดีธรรม ถือว่าสอนให้คนเป็นพิจารณาดูคนตายว่าคนตายรูปกับนามแตกจากกันเหมือนข้าวตอกแตกที่แตกออกจากกัน

ไม้ขีดทาง

เมื่อหามศพผ่านไป เขาจะใช้ไม้ขีดทางหรือหักกิ่งไม้ไว้ เพื่อให้ผู้ตายตามไป ข้างหลังได้สังเกต อีกอย่างหนึ่งเป็นการลวงตาผีที่กลับมา มันจะเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ทางไปบ้านของเรา เพราะมีขีดและกิ่งไม้ขวางทาง

ที่ปลงศพ

ศพที่จะปลงศพนั้น เขาเอาไข่ 1 ใบ ข้าว 1 ปั้น เสี่ยงทายถ้าไข่แตกตรงไหนให้ฝัง หรือเผาตรงนั้น โดยถือว่าตรงนั้นเจ้าของเขาอนุญาตให้แล้ว ผู้ตายก็พอใจอยู่ที่นั่นแล้ว แล้วปลงศพที่ตรงนั้นหาฟืนมากองเป็นกองเรียก กองฟอน ปักหลักสี่หลักที่มุมทั้งสี่เรียกหลักสะกอน เวียนสามรอบ ก่อนจะยกศพขึ้นตั้งกลางกองฟอนหามศพเวียนรอบกองฟอน 3 รอบ การเวียนต้องเวียนซ้าย

death9

ทางคดีโลก ถือว่าเวียนซ้ายเป็นการแสดงความเคารพต่อศพ

ทางคดีธรรม ถือว่าแม่น้ำคือสงสาร ไหลหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ไม่ขาดระยะ ตัวคนคือตัวกิเลสเกิดมาแล้วต้องสร้างกรรม ครั้นสร้างแล้วได้รับผลกรรมเกิดขึ้นมาอีก ถ้าไม่ตัดกิเลสขาด เป็นต้องมาเกิดอยู่ร่ำไป กระแทกกองฟอน เมื่อจะยกโลงขึ้นตั้ง ให้เอาโลงกระแทกกองฟอน 3 ครั้ง ที่ทำดังนี้ เป็นการสอนคนเป็น ให้พิจารณาดู อย่าว่าแต่คนเป็นเลยแม้คนตายแล้วก็ยังถูกระแทกแดกดันแล้วจะได้ระมัดระวังตัวต่อไป

death10

ล้างหน้าศพ

ก่อนล้างต้องพลิกศพ เอาผ้าห่อศพออก เพื่อไฟจะได้ไหม้เร็ว แล้วทุบเอาน้ำมะพร้าวและน้ำอบ น้ำหอมล้างหน้าศพ
            ทางคดีโลก ถือว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่ใสสะอาดการล้างก็เพื่อให้ศพสะอาด ปราศจากมลทิน
            ทางคดีธรรม ถือว่าสอนคนเป็นให้เอาน้ำคือ สุจริตธรรมชำระล้างใจให้สะอาด โยนผ้าข้ามโลง เมื่อล้างศพแล้วโยนผ้าข้ามโลง 3 ครั้ง แล้วเอาผ้านั้นไปให้พระนั่งสวดมาติกา เสร็จแล้วจะเก็บไปหรือถวายพระก็ได้ ตามตู้หนังสือใบลาน ผ้าห่อหนังสือโดยมากเป็นผ้าวาหรือผ้าซิ่น เพราะคนโบราณชอบถวายผ้าให้เป็นสงฆ์ ถือว่าเป็นการทำบุญให้ผู้ตายอีกโสดหนึ่ง

ไม้ข่มเหง

ไม้แก่นสองท่อนยาวท่อนละ 2 วาเศษใช้สำหรับบังคับมิให้โลงตกลงจากกองฟอน การเอาไม้ข่มเหงไว้เช่นนี้ ถือว่าเป็นการสอนคนว่าคนเรานั้นไม่ว่าจะชั่วดีมีจนใหญ่เล็กเพียงไหนก็ต้องมีผู้ปกครองคอย ควบคุมดูแลว่ากล่าวตักเตือนอยู่ตลอด

death11

หว่านกาละพฤกษ์ 

หมากเงินหมากทอง เรียก หมากกาละพฤกษ์เขาเอาผลไม้ ก้านกล้วยตัดเป็นท่อน ๆ หรือไม้ขีดไฟ เสียบสตางค์เข้าไปในนั้น ก่อนจะเผาศพมีการหว่านกาละพฤกษ์ ผู้คนวิ่งวุ่นกันเก็บเอาดูแล้วน่าสนุกสนานยิ่งนัก มาติกาบังสุกุลศพก่อนจะเผานิมนต์พระสวดมนต์มาติกา เสร็จแล้วโยงด้ายจากโลงให้พระชักบังสุกุล เสร็จแล้วพระให้พร แล้วลงมือเผาต่อไป วันที่ไม่ควรเผาศพ วันพระ วันอังคาร และวันถูก 9 กอง ถือว่าเป็นวันที่ไม่ควรเผา วันพระนั้นเป็นวันที่พระสงฆ์ทำกิจพระศาสนา ญาติโยมก็พากันไปรักษาศิล ฟังธรรม วันอังคารถือว่าเป็นวันแข็ง ถ้ามีความจำเป็นจะต้องเผาให้ทำการอุปโลกน์เสียก่อน คือเมื่อนำศพไปถึงป่าช้าแล้วคนหนึ่งทำพิธีขุดหลุมจะฝัง พระสงฆ์ไปขอแผ่จากญาติโยม ขอให้ญาติโยมช่วยหาฟืนมาให้ แล้วจัดการเผา ส่วนวัน 9 กองนั้น เป็นอีกวันหนึ่งที่ไม่เคยเผาด้วยถือว่าวันทั้งสามนี้เมื่อเผาจะนำความเดือดร้อนมาให้

death12

การเผาศพ

ไฟสำหรับจุดศพนั้นเขามีไว้ต่างหากใช้ไต้หรือจุดเทียนห้ามมิให้จุดติดต่อกัน ด้วยถือว่าไฟธรรมดาก็ดี ไฟราคะ โทสะ โมหะก็ดี ไฟทั้งนี้เป็นของร้อน ถ้าไปต่อกันเข้าจะลุกลามใหญ่โตไหม้บ้านเมือง และ ทำลายทรัพย์สินอาคาร บ้านเรือนให้เสียหายพินาศ เผาแล้วกลับบ้านมีการบายศรีสู่ขวัญให้เพื่ออยู่เย็นเป็นสุขต่อไป

death13

การเก็บกระดูก

เมื่อเผาศพครบ 3 วัน แล้วเชิญญาติพี่น้องและนิมนต์พระสงฆ์ไปทำพิธีเก็บกระดูก จัดอาหารไป 1 ที่ เมื่อถึงป่าช้าหลุมเผาศพแล้วนำอาหารไปเลี้ยงผี บอกเล่าว่าพรุ่งนี้ไปกินข้าวแจกลูกหลานเขาจะทำบุญแจกข้าว พอบอกเล่าแล้วก็กองกระดูกให้เป็นรูปคนนอนหงาย สมมุติว่าตาย หันหัวไปทางทิศตะวันตกแล้วนิมนต์พระมาบังสุกุล พอเสร็จแล้วลบรูปหุ่นนั้นเสีย ทำรูปหุ่นใหม่หันหัวไปทางทิศตะวันออก สมมติว่าเกิดใหม่ เอากระดูกใส่ในหม้อวาง ไว้ตรงกลางรูปหุ่น แล้วนิมนต์พระสงฆ์บังสุกุลเป็น แล้วเขี่ยเถ้าถ่านที่เหลือลงไปในหลุมฝังไว้

death14

บางท้องถิ่นในภาคอีสานเหนือ หลังเผาศพเสร็จแล้ว 3 วัน ถึงจะเก็บกระดูกมาทำบุญที่บ้าน ว่ากันว่า รอให้กระดูกเย็นเสียก่อน คือ เย็นโดยไม่ต้องใช้น้ำราด

death15death16

ระหว่างที่รอให้ครบ 3 วันนั้นลูกหลานจะจัดเตรียมเครื่องทำบุญ และของถวายวัด ที่ภาคอีสานเหนือ จะมีการทำตุงเป็นผืนใหญ่ ยิ่งยาวเท่าไหร่ได้ก็ยิ่งดี เสมือนหนึ่งว่าให้ผู้ตายเป็นทางขึ้นสู่สวรรค์

death17

ในการทำตุงนี้ ลูกหลานทุกคนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการทำคนละเล็กละน้อยหลังจากทำบุญที่บ้าน แล้วก็นำสิ่งของที่เตรียมไว้มาที่วัด ส่วนตุงนั้นจะนำมาตั้งไว้ที่มุมโบสถ์ด้านทิศเหนือ กระดูกจะนำไปฝากวัด หรือจัดก่อเจดีย์แล้วแต่กรณี ฤดูปีหน้าฟ้าใหม่ก็มาบังสุกุลทำบุญให้ทานตามประเพณี

death18

การเผาแบบคนโบราณ นอกจากจะทำเป็นโลงแล้ว ยังทำเป็นรูปนกหัสดีลิงค์ ซึ่งเป็นนกที่มีขนาดใหญ่มาก คนเป็นใหญ่เป็นโตมีเกียรติยศชื่อเสียง จึงสมควรให้เผาแบบนี้ ประวัติมีว่า

นกหัสดีลิงค์ เป็นนกใหญ่ตัวโตเท่าช้าง อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ เรียก ชื่อตามเจ้าของภาษาว่า หัตถิลิงคะสะกุโณ เรียกตามภาษาของเราว่า นกหัสดีลิงค์ เรื่องย่อมีว่า พระเจ้าปรันตปะเจ้าเมืองโกสัมพี นั่งผิงแดดอยู่กับราชเทวีมีครรภ์แก่ พระนางห่มผ้ากัมพลแดง นกเข้าใจว่า ก้อนเนื้อจึงบินมาโฉบเอาไปวางไว้ในระหว่างคาคบไม้ไทร พระนางปรบมือร้อง นกตกใจบินหนีพระนางจึงลงจากคาคบไม้ แล้วประสูติพระโอรสในขณะที่ฝนตกฟ้าร้อง จึงขนานนามพระโอรสว่า อุเทน

ชาวอีสาน เมื่อเจ้าเมืองหรือพระสงฆ์ผู้หลักผู้ใหญ่ถึงแก่กรรมมักจะทำศพเป็นการใหญ่โตหีบศพทำแบบโบราณ มีบุษบกหลายชั้นทำรูปนกหัสดีลิงค์ ตั้งบนกองฟอนตั้งหีบศพบนหลังนกหัสดีลิงค์ ปลูกประรำใหญ่และสูงคร่อม มีมหรสพคบงันและทำบุญกุศลครบ 7 วัน 7 คืน ถึงวันเผาก็ทำพิธีฆ่านกหัสดีลิงค์แล้วจึงเผา ผู้นำชาวอีสาน คือ พระตา พระวอ ก็ปรากฏว่า ทำศพแบบรูปนกหัสดีลิงค์ เอาศพพระวอ พระตาขึ้นตั้งบนหลังนก มีมหรสพครบ 7 วัน 7 คืน แล้วเผา ณ ทุ่งบ้านดู่ บ้านแก เขตนครจำปาศักดิ์ ลูกชายของพระตา 2 คน คือ ท้าวคำผง เจ้าเมืองอุบลฯ คนแรก นามว่า พระปทุมราชวงศา และท้าวพรหม เจ้าเมืองอุบลคนที่สอง นามว่าพระพรหมราชวงศากับลูกชายท้าวคำผง ชื่อกุทอง เจ้าเมืองคนที่สามนามว่า พระปทุมราชวงศา เจ้าเมืองทั้งสามองค์นี้ ครองเมืองอุบลมาเป็นเวลานานถึง 80 ปีเศษ เวลาถึงแก่กรรม ก็จัดทำศพแบบรูปนกหัสดีลิงค์ มีมหรสพคบงัน 7 วัน 7 คืน ณ บริเวณทุ่งศรีเมือง ในเมืองอุบลราชธานี ( จากประวัติเมืองอุบลฯ โดย สิน ปิติกะวงศ์ พ.ศ. 2479)

ฝ่ายพระสงฆ์เมืองอุบลฯ ที่ท่านเจ้าเมือง หรือชาวเมืองเรียกกันว่า ยาท่านธรรมบาล วัดป่าน้อย ซึ่งมีสมณศักดิ์เป็น เจ้าคุณพระอริยวงศาจารย์ ปลายรัชกาลที่ 5 ท่านถึงแก่มรณภาพ ก็จัดทำศพแบบรูปนกหัสดีลิงค์ มีมหรสพคบงัน 7 วัน 7 คืน เผาที่วัดป่าน้อย เมืองอุบลฯ อีกองค์หนึ่งคือยาท่านดีโลด หรือ ที่ทางการเรียกพระครูวิโรจน์รัตโนบล เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อ ปี พ.ศ. 2485 ท่านถึงแก่มรณภาพ ก็จัดทำศพแบบรูปนกหัสดีลิงค์ ตั้งศพบำเพ็ญบุญ และมีมหรสพคบงันครบ 7 วัน 7 คืน ณ วัดทุ่งศรีเมือง (จากประวัติทุ่งศรีเมือง2514)

death19

การจัดทำศพแบบรูปนกหัสดีลิงค์นี้ถือเป็นเกียรติประวัติอย่างสูง สมควรได้รับเกียรติศักดิ์เช่นนั้น ต้องได้ทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ และพระศาสนามากมาย ส่วนเจ้าเมืองและพระสงฆ์ผู้หลักผู้ใหญ่ในภาคอีสานซึ่งได้ทำความดีมีจำนวนมาก เวลาทำศพ จะได้ทำแบบรูปนกหัสดีลิงค์นี้หรือไม่ ผู้เขียนไม่สามารถนำมาเล่าไว้ จึงขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

death20

การเผาศพ

เกี่ยวกับการตายนี้ คนโบราณมีข้อห้ามไว้หยุมหยิม จุดประสงค์ของผู้ห้ามก็เพื่อต้องการให้เกิดความสวัสดิมงคล ผู้อยู่ก็ให้สบาย ผู้ตายให้มีสุข ข้อที่คนโบราณห้ามไว้ มีดังนี้

  1. อายุไม่ถึง 10 ปี ตายแล้วห้ามไม่ให้เผา ถ้าเผาจะเกิดความฉิบหายแก่ พ่อแม่ พี่น้อง วงศาคณาญาติ และทรัพย์สินเงินทอง
  2. ตายเพราะโรคลงท้อง (ท้องร่วง) ห้ามไม่ให้เผา
  3. ตกน้ำตาย ตกเรือนตาย ห้ามไม่ให้เผา
  4. ฟกบวมตาย ห้ามไม่ให้เผา
  5. ตายเพราะช้างม้าเหยียบ เสือกัด งูกัด ควายขวิด ตกต้นไม้ตายผีกินเหล่านี้ ห้ามไม่ให้เผา
  6. ตายเพราะมีด หอก ดาบ หลาว แหลม เหล่านี้ ห้ามไม่ให้เผา
  7. ตายเพราะสู้รบกันด้วย หลาว แหลม เหล็ก และโรคลงแดงห้ามไม่ให้เผา ถ้าเผาจักเกิดอันตรายแก่เจ้าบ้าน และพ่อแม่พี่น้อง ถ้าจะเผาให้นำไปเผาที่อื่น ห้ามเผาร่วมป่าช้า ถ้าเผาร่วมป่าช้าจักเข็ดขวางแก่ไพร่เมือง ผู้ตายเช่นนี้ ห้ามมิให้นับถือเป็นด้ำ (ผีเรือนหรือของฮักษา) ถ้านับถือเวลาทำผิดเขาจะมาถามกินวัว ควาย หมู เห็ด เป็ด ไก่ กับเราทุกวัน ถ้าเรายอมให้ก็เสียของ ถ้าไม่ให้มันก็เป็นปอบเป้าโพงผีมากินเรา
  8. เวลาหามผีลงเรือน ให้หว่านขี้เถ้ารอบเรือน เมื่อผีถึงป่าช้าแล้ว คนที่อยู่บ้านให้เอาเสื้อผ้าพี่น้องผีไปซ่อนไว้เวลากลับจากเผาห้ามเหลียวหลัง มาถึงแล้วให้แสดงอาการกลัวผี ผู้อยู่บ้านให้ปิดประตูเรือน ให้ผู้มาจากเผาผีอาบน้ำให้สะอาดทุกคน แล้วจึงเปิดประตูให้ขึ้นไปบนเรือนผู้หลัก ผู้ใหญ่จึงให้ศีลให้พร ถ้าทำได้ดังกล่าวมาจะปราศจากทุกข์โศกโรคภัย อยู่เย็นเป็นสุข
  9. เป็นกำเลิดตาย หรือคนป่วยไม่หาย ต้องการจะย้ายไปรักษาในที่อื่น ให้นิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีสวดให้แล้วจึงให้เข้าในเรือน ถ้าตายให้เอาไปที่อื่น ถ้าเผาร่วมป่าช้าจะเข็ดขวางไพร่เมือง
  10. ไม้ล้อเกวียนและตีนเกวียนที่หักแล้ว ห้ามไม่ให้เอาไปรองตีนบันได

ห้ามปลุกผีนั่ง ถ้าทำจักเกิดอันตรายแก่พ่อเรือน แม่เรือน ลูกหลาน ญาติพี่น้อง ข้าวของเงินทอง (จากหนังสือธรรมสอนโลก)

death21

หมายเหตุ

การฝังศพเป็นปัญหาที่ถกเถียงกันมาตลอด เพราะเกจิอาจารย์บางคนว่าควร บางคนว่าไม่ควร โดยอ้างตำรานี่ ตำราที่ห้ามก็ห้ามเพียงว่า คะลำบ้าง จะเป็นอันตรายบ้าง จะพินาศฉิบหายถึงขายตัวบ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะแก้ไขอย่างไร 
            สมมุติว่าห้ามไม่ให้เผา แต่เราจำเป็นต้องเผา เราจะทำอย่างไร โบราณแนะวิธีทำไว้ดังนี้

  1. ในที่ที่ซึ่งไม่มีพระสงฆ์เป็นประธาน ถ้าเราจะเผา เราก็จัดการบวงสรวงศพ บอกให้ศพทราบความจำเป็นและร้องขอศพอย่าไปเบียดเบียน
  2. ในที่ซึ่งมีพระสงฆ์เป็นประธาน ท่านจะสั่งให้เผาก็จัดการไปตามท่าน ถ้าเราทำตามนี้ เรื่องที่ร้ายก็กลายเป็นดีแล

ที่มา : อรทัย เลียงจินดาถาวร. (2545). การจัดสร้างฐานข้อมูลและเผยแพร่ประเพณีการดำรงชีวิตของชาวไทยอีสานบน Web site. อุบลราชธานี: สำนักวิทยบริการ