-
แรกเริ่มงบประมาณและการดำเนินงานของวิทยาลัยอุบลราชธานี
งบประมาณประจำปี 2531 วิทยาลัยอุบลราชธานีได้รับงบประมาณ จำนวน 16,263,600 บาท ซึ่งส่วนใหญ่จ่ายเป็นค่าก่อสร้างอาคารเรียนและการก่อสร้างสาธารณูปโภค ตลอดจนเงินเดือนบุคลากร สิ่งก่อสร้างนั้นส่วนใหญ่เป็นรายการที่จำเป็นต้องผูกพันกับเงินงบประมาณจนถึงปีงบประมาณ 2533 สิ่งก่อสร้างที่จัดสร้างในงบประมาณ ปี 2531 ได้แก่ อาคารอเนกประสงค์ ปรับปรุงแหล่งน้ำและการระบายน้ำระบบประปาขนาดกำลังผลิตประมาณ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน อาคารฝึกงานวิศวกรรมเครื่องกล, เรือนเพาะชำพร้อมห้องทำงานและห้องปฏิบัติการ, ถนนลูกรังขนาดกว้าง 12 เมตร ยาว 2.0 กิโลเมตร และระบบไฟฟ้าแรงสูงระยะทางยาวประมาณ 2 กิโลเมตร งบประมาณประจำปี 2532 วิทยาลัยอุบลราชธานี ได้รับจัดสรรเป็นเงิน 47,660,110 บาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นเงินค่าก่อสร้างสำหรับสิ่งก่อสร้าง รายการที่มีการผูกพันงบประมาณ ตั้งแต่ปี 2531 ตลอดจนสิ่งก่อสร้างที่เริ่มใหม่ในปี 2532 อีกทั้งยังเป็นเงินเดือนของอัตรากำลังที่เพิ่มขึ้น สิ่งก่อสร้างใหม่ที่ได้รับงบประมาณ ปี 2532 มีดังนี้ คือ อาคารปฏิบัติการวัสดุศาสตร์และกลศาสตร์, อาคารปฏิบัติการของไหลและความร้อน, ถนนลูกรังมาตรฐานขนาดกว้าง 8 เมตร, สูง 2 เมตร ยาว 8 กิโลเมตร, ระบบไฟฟ้าแรงต่ำ ไฟถนนและไฟเข้าอาคาร ระยะทาง 5 กิโลเมตร, ระบบกำจัดน้ำเสีย, บ่อปลาพ่อ-แม่พันธุ์ ขนาด 1 ไร่, บ่อเลี้ยงปลา ขนาด 5 ไร่, โรงเรือนไก่ไข่, โรงเรือนไก่เนื้อ, โรงอาหารสัตว์, และโรงเรือนสุกรพันธุ์ งบประมาณประจำปี 2533 วิทยาลัยอุบลราชธานี ได้รับจัดสรรเป็นเงิน 68,411,800 บาท นอกเหนือจากใช้เป็นค่าเงินเดือน ค่าจ้างและอื่น ๆ แล้ว งบประมาณในหมวดสิ่งก่อสร้างทั้งหมดเป็นเงิน 39,924,400 บาท โดยเป็นค่าก่อสร้างที่ผูกพันจากปีงบประมาณ 2531 และ 2532 ส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้รับจัดสรรเพิ่มเติมให้สร้าง อาคารบรรยาย 1 หลัง, อาคารปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ชีวภาพ 1 หลัง โรงประลองเทคโนโยลียานยนต์ 1 หลัง และระบบประปา การระบายน้ำ ปรับปรุงแหล่งน้ำ…
-
แรกเริ่มการดำเนินงานของวิทยาลัยอุบลราชธานี
ทบวงมหาวิทยาลัยได้ออกประกาศทบวงมหาวิทยาลัย เรื่องการแบ่งส่วนราชการในวิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พุทธศักราช 2530 ให้ส่วนราชการของวิทยาลัยอุบลนราชธานี ประกอบด้วย สำนักงานเลขานุการ ภาควิชาเกษตรศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาพื้นฐาน คณะดำเนินการได้จัดตั้งสำนักงานของวิทยาลัยอุบลราชธานีขึ้น 2 แห่ง คือ ชั้น 2 อาคารคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2. โครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โรงฝึกกีฬาอเนกประสงค์เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ถนนประทุมเทพภักดี อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานีเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์บริเวณหนองอีเจม ตำบลโพธิ์ใหญ่ ตำบลคำขวาง ตำบลคูเมือง และตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ด้านหน้าของพื้นที่ติดถนนสายวารินชำราบ-เดชอุดม ระหว่างกิโลเมตรที่ 10-11 มีเนื้อที่ประมาณ 5,111 ไร่ (ข้อมูลจากงานอาคารสถานที่และยานพาหนะ กองกลาง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2537) โดยมีระยะทางจากจุดที่ตั้งวิทยาลัยมาที่อำเภอวารินสชำราบ ประมาณ 10 กิโลเมตร และห่างจากอำเภอเมืองอุบลราชธานี ประมาณ 13 กิโลเมตร แหล่งอ้างอิง วิทยาลัยอุบลราชธานี มหาวิทยาลัยขอนแก่น, หน้า 15 มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, งานวิจัยสถาบัน กองแผนงาน.(2537). รายงานวิจัยสถาบัน เรื่อง สภาพปัญหาของนักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชานี ปีการศึกษา 2535ฒ หน้า 9
-
การดำเนินงานเพื่อปรับฐานะเป็นมหาวิทยาลัย
ในระหว่างที่ดำเนินการในรูปวิทยาลัยอุบลราชธานีอยู่นี้ คณะกรรมการทบวงมหาวิทยาลัยซึ่งมรศาสตราจารย์ ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต เป็นประธาน ได้มีคำสั่งที่ 105/2531 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2531 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประสานงานการจัดตั้งมหาวิทยาลัยใหม่ในส่วนภูมิภาคโดยมีปลัดทบวงมหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสะอ้าน เป็นประธาน และมีผู้แทนจากหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องได้แก่ สำนักงบประมาณ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติและอธิการมหาวิทยาลัย ที่เกี่ยวข้องในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยใหม่ในส่วนภูมิภาค ซึ่งได้แก่ อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น เชียงใหม่ สงขลานครินทร์ฯ และศรีนครินทร วิโรฒ รวมทั้งหัวหน้าโครงการซึ่งมี รศ.ดร.สมจิตต์ ยอดเศรณี ผู้อำนวยการวิทยาลัยอุบลราชธานี ร่วมเป็นอนุกรรมการคณะอนุกรรมการชุดนี้ ทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองร่างพระราชบัญญัติ และโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยใหม่ทั้ง 5 แห่ง ก่อนการนำเสนอคณะรัฐมนตรี ทั้งในด้านสาขาวิชาที่ผลิตบัณฑิตระบบการบริหารในมหาวิทยาลัยและอื่น ๆ ในส่วนของโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยที่จังหวัดอุบลราชธานี คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการให้ยกฐานะวิทยาลัยอุบลราชธานี ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศ ตามมติที่ประชุมเมื่อวันที่ 13 กันยายน พุทธศักราช 2531 จากนั้นร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในสมัยประชุมสามัญประจำปี 2532 ที่ผ่านมา ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับหลักการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งหนึ่ง ในสมัยประชุมสามัญปี 2533 ต่อไป