Loading

ฐานข้อมูลการผลิตเส้นไหมและการใช้สีธรรมชาติในจังหวัดอุบลราชธานี

การรวบรวมจากเอกสารวิชาการต่าง ๆ ในเรื่องของการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ในรายงานโครงการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปี 2542 เรื่อง ฐานข้อมูลการผลิตเส้นไหมและการใช้สีธรรมชาติในจังหวัดอุบลราชธานี โดย อุไรวรรณ นิลเพ็ชร์ หัวหน้าโครงการ เริ่มตั้งแต่การปลูกหม่อน ไหมและการเลี้ยง การย้อมสีไหม ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมตามสถานที่ต่าง ๆ และการย้อมสีธรรมชาติในจังหวัดอุบลราชธานี

ในรายงานได้กล่าวถึงการย้อมสีเส้นไหมไว้ว่า เส้นไหมจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นเส้นใยที่แท้จริง หรือ fibroin protein และส่วนประกอบที่เป็นกาว หรือ sericin protein รวมทั้งสารประกอบชนิดอื่น ๆ อีกมาก เช่น ขี้ผึ้ง ไขมัน สีธรรมชาติ เกลือและอื่น ๆ ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ทำให้เส้นไหมดิบมีลักษณะแข็งกระด้างและไม่เป็นเงา การติดสีย้อมมีน้อย ดังนั้นการที่จะทำให้ไหมย้อมสีได้ผลดีจะต้องทำการลอกกาวไหมออก

การลอกกาวเส้นไหม (degumming or scouring)

วิธีการลอกกาวออกจากเส้นไหมเพื่อให้การย้อมสีได้ผลดี มีหลายแบบได้แก่

  1. การลอกกาวไหมด้วยสบู่ วิธีนี้มีคุณภาพดีให้เส้นไหมที่เงางามและเรียบสวย แต่จะเกิดการลอกไม่สม่ำเสมอและหมองคล้ำ และทำให้เกิดมลภาวะด้านน้ำเสีย
  2. การลอกกาวด้วยโซดา วิธีนี้ใช้เวลาในการลอกกาวสั้นและค่าใช้จ่ายต่ำแต่อาจจะทำให้ความเสียหายแก่เส้นใน
  3. การลอกกาวด้วยสบู่-โซดา วิธีนี้จะได้เส้นไหมที่ขาวกว่า การลอกกาวด้วยโซดาและยังช่วยปรับปรุงข้อเสียในการลอกกาวด้วยสบู่อีกด้วย วิธีนี้จะใช้น้ำประมาณ 30 ลิตร ต่อน้ำหนักเส้นไหมดิบ 1 กิโลกรัม สบู่ซัลไลท์ 15-20% (โดยน้ำหนักไหม) และโซดาแอช 1-1.5 กรัม/ลิตร โดยต้มเส้นไหมที่อุณหภูมิ 90-95 องศาเซลเซียส ใช้เวลาในการต้มฟอกประมาณ 20-25 นาที ในระหว่างที่ต้มเส้นไหมควรจะกลับเส้นไหมบ่อย ๆ เพื่อการกำจัดกาวเป็นไปอย่างสม่ำเสมอและทั่วถึงและไม่ควรต้มอุณหภูมิสูงกว่านี้ เพราะจะทำให้เส้นไหมฟูหงิกงอเป็นอุปสรรคต่อการกรอ จากนั้นนำไปบิดหรือสลัดเอาน้ำออก นำไปแช่น้ำร้อน 90-95 องศาเซลเซียส ประมาณ 1-2 นาที แล้วจึงนำไปซักล้างด้วยน้ำเย็นให้สะอาด บิดหรือสลัดเอาน้ำออกกระตุกเส้นไหมให้คลายออก แล้วนำไปผึ่งให้แห้ง ไม่ควรนำเส้นไหมไปตากแดดเพราะจะทำให้เส้นไหมเสื่อมคุณภาพได้โดยง่าย
  4. การลอกกาวด้วยเอนไซม์ วิธีการนี้จะทำให้ลอกกาวได้สม่ำเสมอ แต่มีราคาแพง
  5. การลอกกาวด้วยกรด วิธีนี้มักจะเกิดปัญหาบ่อย ๆ อีกทั้งมีปัญหาด้านคุณภาพของเส้นไหมด้วย

เส้นไหมบางสายพันธุ์นั้นเมื่อทำการลอกกาวไหมออกแล้วจะได้สีไหมที่มีสีเหลืองอ่อนหรือน้ำตาลอ่อน เมื่อทำการย้อมด้วยสีอ่อนจะทำให้สีไม่สดใส จึงจำเป็นต้องทำการฟอกขาวก่อนเพื่อให้ได้สีสดสวยและทนทาน

การฟอกขาวเส้นไหม

การฟอกขาว คือ การฟอกสีของเส้นไหมที่ผ่านกระบวนการลอกกาวแล้วให้มีความขาวเพิ่มขึ้น นิยมทำอยู่ 2 วิธี คือ

1.การฟอกขาวไหมแบบออกซิไดส์ด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ โดยใช้น้ำประมาณ 30 ลิตรต่อน้ำหนักเส้นไหม 1 กิโลกรัม ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 4-14 ซีซีต่อลิตร โซเดียมซิลิเกต ปรับค่า pH 10.5-11 และสบู่เทียม (Wetting agent) 1-2 กรัมต่อลิตร ทำการฟอกที่อุณหภูมิ 90 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 25-30 นาที หรือจนกระทั่งได้ความขาวที่ต้องการ จากนั้นนำไปบิดหรือสลัดเอาน้ำออกกระตุกแล้วนำไปผึ่งให้แห้ง ทำการฟอกขาวด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ไม่ควรใช้อุณหภูมิสูงกว่า 90 องศาเซลเซียส เพราะจะทำให้น้ำยาเสื่อมคุณภาพได้ง่าย เนื่องจากการสลายตัวกลายเป็นแก๊สของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์

2.การฟอกขาวแบบรีดิวซ์ด้วยโซเดียมไฮโดรซัลไฟด์ ประกอบด้วยปริมาณน้ำ 30 ลิตรต่อน้ำหนักเส้นไหม 1 กิโลกรัม โซเดียมไฮโดรซัลไฟด์ 1-2 กรัมต่อลิตรและสบู่เทียม (wetting agent) 1-2 กรัมต่อลิตร โดยใช้อุณหภูมิ 90-95 องศาเซลเซียส ประมาณ 25-30 นาที หรือจนกระทั่งได้ความขาวที่ต้องการ

รายละเอียดเพิ่มเติม: ฐานข้อมูลการผลิตเส้นไหมและการใช้สีธรรมชาติในจังหวัดอุบลราชธานี

บรรณานุกรม

อุไรวรรณ นิลเพ็ชร์, หัวหน้าโครงการ. (2542). รายงานโครงการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ฐานข้อมูลการผลิตเส้นไหมและการใช้สีธรรมชาติในจังหวัดอุบลราชธานี. อุบลราชธานี: มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี