พระพิฆเนศที่พบในจังหวัดอุบลราชธานี แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศาสนาฮินดูและศิลปะขอมในเมืองอุบลราชธานี ชาวอุบลฯ ให้ความเคารพนับถือพระพิฆเนศในฐานะเทพผู้ประทานปัญญา ความสำเร็จ และขจัดอุปสรรคทั้งปวง ในจังหวัดอุบลราชธานีสามารถเข้าสักการะและชมความงดงามของพระพิฆเนศได้ที่พิพิธภัณฑ์วัดสุปัฏนารามวรวิหาร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และวัดป่าพระพิฆเณศวร์ (บ้านปากน้ำ) อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
พระพิฆเนศ (หรือ พระคเณศ, พระคณปติ, พระพิฆเณศวร์) เป็นเทพเจ้าสำคัญองค์หนึ่งในศาสนาฮินดู โดดเด่นด้วยลักษณะเฉพาะคือ มีเศียรเป็นช้าง ร่างกายเป็นมนุษย์ รูปร่างอ้วนเตี้ย มีงาเดียว และมีหลายกร พระองค์เป็นโอรสของพระศิวะ (เทพผู้ทำลาย) และพระนางปารวตี (หรืออุมาเทวี) ทรงได้รับการเคารพบูชาในฐานะ เทพแห่งความรู้ ปัญญา ศิลปวิทยาการ เทพผู้ขจัดอุปสรรค และ เทพแห่งการเริ่มต้น จึงเป็นธรรมเนียมที่จะบูชาพระพิฆเนศก่อนเริ่มพิธีกรรม การศึกษา การทำงาน หรือกิจการสำคัญต่าง ๆ
อุบลราชธานี ดินแดนแห่งความหลากหลายทางวัฒนธรรม ไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของภาคอีสาน แต่ยังมีร่องรอยอารยธรรมพราหมณ์-ฮินดูที่ฝังรากลึกอยู่ในประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของผู้คนโดยเฉพาะเรื่องราวของพระพิฆเนศเทพผู้เปี่ยมด้วยปัญญาและเป็นที่เคารพศรัทธาในฐานะผู้ขจัดอุปสรรคทั้งปวง
ร่องรอยการค้นพบพระพิฆเนศในอุบลราชธานี
พระพิฆเนศที่พบในอุบลราชธานีนั้น มีหลักฐานทางโบราณคดีที่ชัดเจนและสำคัญ คือ การค้นพบประติมากรรมพระคเณศหินทราย ที่บ้านบอน อำเภอสำโรง ซึ่งเป็นศิลปะที่ได้รับอิทธิพลแบบเขมร มีอายุอยู่ในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ 15 ซึ่งตรงกับยุคเจนละ
นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่สำคัญอีกแห่งที่เชื่อมโยงกับพระพิฆเนศ คือ บริเวณที่เรียกว่า “ดงพระคเณศ” ตั้งอยู่ใกล้กับบ้านปากน้ำ (บุ่งสระพัง) ตำบลกุดลาด อำเภอเมืองอุบลราชธานี ซึ่งนักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าบริเวณนี้อาจเคยเป็นชุมชนโบราณชื่อ “บ้านตาเณศ” และเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่ยุคหินตั้งที่มีการขุดค้นพบวัตถุโบราณหลายอย่าง เช่น โครงกระดูกคนแปดศอก, ใบเสมาหินทราย, โคอุสุภราชหินทราย (หรือโคนนทิ พาหนะของพระอิศวร), ปลียอดปราสาทหินทราย และที่สำคัญ คือ พระพิฆเนศหินทราย ซึ่งชาวบ้านในอดีตเรียกขานว่า “พระมีงวง” การพบพระพิฆเนศและโคอุสุภราชเคียงข้างกัน ณ บริเวณนี้ เป็นหลักฐานที่บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า สถานที่แห่งนี้เคยเป็นเทวสถานพราหมณ์มาก่อนในยุคเจนละ ก่อนจะได้รับอิทธิพลของพระพุทธศาสนาแบบทวารวดีและเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นวัดในพระพุทธศาสนาในภายหลัง
การค้นพบพระพิฆเนศและโคอุสุภราชในดงพระคเณศนั้นถูกเล่าขานว่าเกิดขึ้นราวปี พ.ศ. 2493 ก่อนการค้นพบหลวงพ่อเงิน พระพิฆเนศองค์ที่พบถูกทางการนำไปเก็บรักษาไว้ ส่วนโคอุสุภราชถูกนำไปขายทอดตลาดให้แก่นักสะสมของเก่า อย่างไรก็ตาม ชื่อ “ดงพระคเณศวร์” ก็ยังคงถูกเรียกขานติดปากมาจนถึงปัจจุบัน และกลายเป็นชื่อเรียก “วัดป่าพระพิฆเนศวร์” ในปัจจุบัน
ประติมากรรมพระพิฆเนศ
ประติมากรรมพระพิฆเนศที่พบในอุบลราชธานี สะท้อนให้เห็นถึงศิลปะเขมรในยุคสมัยต่าง ๆ ดังนี้
- พระพิฆเนศหินทราย จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี อำเภอเมืองอุบลราชธานี มีทั้งหมด 3 องค์

พระพิฆเนศศิลปะขอมแบบเกาะแกร์หรือแปรรูป (พุทธศตวรรษที่ 15) พบที่อำเภอสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี ประติมากรรมหินทราย องค์พระประทับนั่งขัดสมาธิราบ รายละเอียดบางส่วนของพระวรกายและเครื่องทรงยังสลักไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ยังสามารถสังเกตลักษณะสำคัญได้ เช่น ทรงกระบังหน้า กรองศอ ทองพระกร และรัดทรวง งวงของพระองค์ม้วนลงแตะพระเพลาขวา พระหัตถ์ทั้งสองวางบนพระเพลา พระหัตถ์ซ้ายทรงวัตถุรูปกลม ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นขนมโมทกะ อันเป็นสัญลักษณ์ของปัญญาสูงสุด ส่วนพระหัตถ์ขวาทรงวัตถุซึ่งน่าจะเป็นเศษงาหัก
แม้ผ้านุ่งที่ประทับจะยังไม่แล้วเสร็จ แต่ลักษณะโดยรวมของประติมากรรมองค์นี้สามารถเปรียบเทียบได้กับพระคเณศจากบาลัก และปราสาทหินเมืองต่ำ ซึ่งเป็นศิลปกรรมแบบขอมเกาะแกร์หรือแปรรูป มีอายุราว พ.ศ.1464–1505


- พระพิฆเนศหินทรายจากดงพระคเณศ (บ้านปากน้ำ) ตำบลกุดลาด อำเภอเมืองอุบลราชธานี มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 15-16 องค์ที่พบครั้งแรกอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ปัจจุบันองค์นี้ถูกเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์วัดสุปัฏนารามวรวิหาร อำเภอเมืองอุบลราชธานี

มีเรื่องเล่าว่า เคยมีผู้ลักลอบขุดหาสมบัติบริเวณดังกล่าว และพบพระพิฆเนศพร้อมกับ “บัวยอด” หรือ “บัวกลุ่ม” ซึ่งเป็นชิ้นส่วนประดับยอดปราสาทหิน แต่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ได้ ต่อมากรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ทรงมีพระดำริให้นำโบราณวัตถุทั้งสองไปเก็บรักษาไว้ที่ “วังสงัด” ซึ่งเป็นที่ประทับของพระองค์
วันหนึ่งสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ได้รับนิมนต์ไปฉันภัตตาหารเพล ณ วังสงัด และพบโบราณวัตถุกองอยู่ใต้ต้นไฮมี่ (ต้นไทรชนิดหนึ่ง) จึงกราบทูลกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ว่า วัตถุเหล่านี้ไม่สมควรเก็บไว้ในวัง ควรนำไปประดิษฐานไว้ในวัดเพื่อการดูแลรักษาที่เหมาะสม กรมหลวงจึงโปรดให้นำพระพิฆเนศและบัวยอดไปถวายแด่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ และจากนั้นจึงนำมาประดิษฐาน ณ วัดสุปัฏนารามวรวิหารสืบมา
พระพระพิฆเนศองค์นี้ทำจากหินทราย ขนาดหน้าตักกว้าง 45 เซนติเมตร ฐานกว้าง 30 เซนติเมตร และวัดจากเดือยใต้ฐานถึงพระเศียรสูง 97 เซนติเมตร ทรงประทับนั่งขัดสมาธิ พระบาทขวาทับพระบาทซ้าย มี 2 พระกร โดยพระหัตถ์ขวาชำรุด ส่วนพระหัตถ์ซ้ายทรงถือขนมโมทกะ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญาสูงสุด

ลักษณะโดยรวมของพระวรกายค่อนข้างบางชะลูด ไม่อ้วนพุงพลุ้ยเช่นพระคเณศในบางยุค พระเศียรมีขนาดใหญ่ พระพักตร์และงวงชำรุด แต่พระกรรณใหญ่เด่นชัด ทรงกระบังหน้าและมงกุฎทรงเตี้ย พร้อมเครื่องประดับแบบกษัตริย์ ได้แก่ กรองศอ กำไลต้นแขน และกำไลข้อมือ ทรงผ้าสมพตที่มีริ้วรอบขอบผ้าและเว้าลงตรงหน้าท้อง บริเวณฝ่าพระบาทขวามีร่องรอยลวดลายเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณวัตถุในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 107 ตอน 9 หน้า 14 ลำดับที่ 16 เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2533

- พระพิฆเนศ ณ วัดป่าบ้านบาก หรือวัดป่าพระพิฆเนศวร์ ตั้งอยู่ที่บ้านปากน้ำ (บุ่งสระพัง) ตำบลกุดลาด อำเภอเมืองอุบลราชธานี แม้พระพิฆเนศองค์ดั้งเดิมจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แต่ที่วัดได้มีการปั้นรูปเหมือนพระพิฆเนศขึ้นไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ วัดนี้เป็นวัดป่าที่มีบรรยากาศเงียบสงบ ร่มรื่น เป็นที่นิยมของ “สายมู” ในอุบลราชธานี และยังเป็นสถานที่จัดเทศกาลคเณศจตุรถี เพื่อเฉลิมฉลองวันประสูติของพระพิฆเนศเป็นประจำทุกปี การมาเยือนวัดป่าพระพิฆเนศจึงเปรียบเสมือนการได้มาเยือนสถานที่ต้นกำเนิดแห่งความศรัทธา

บรรณานุกรม
ชาญชัย คงเพียรธรรมและคณะ. (2563). ร่องรอยของอารยธรรมเขมรในจังหวัดอุบลราชธานี. อุบลราชธานี: คณะศิลปศาสตร์และกองส่งเสริมการวิจัย บริการวิชาการ และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล, เชาวนี วิลยาลัย และยุทธนาวรากร แสงอร่าม. (2555). ประวัติวัดสุปัฏนารามวรวิหารและโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ ที่ระลึกงานพระกฐินพระราชทาน เรือโทศักดิ์ทวี แสงอร่าม ณ วัดสุปัฏนารามวรวิหาร วันที่ 18 พฤศจิกายน 2555. กรุงเทพฯ: ศักดิโสภา การพิมพ์.
วราวุธ ผลานันต์. (2556). พิพิธภัณฑ์ล้ำค่าในวัดสุปัฏนารามวรวิหาร. อุบลราชธานี: ยงสวัสดิ์อินเตอร์กรุ๊ป.
สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ. (2542). นำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี. อุบลราชธานี: อุบลกิจออฟเซทการพิมพ์.