หัตถกรรมทอผ้าไหมบ้านหนองบ่อ จังหวัดอุบลราชธานี แหล่งทอผ้าไหมพื้นบ้านลวดลายประสาทผึ้ง และผ้าซิ่นหัวจกดาว ซึ่งเป็นลายเอกลักษณ์ของจังหวัดอุบลราชธานีที่ผ่านการจดลิขสิทธิ์แล้ว เป็นแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาการทอผ้าที่ถูกถ่ายทอดจากบรรพบุรุษอย่างยาวนาน
![หัตถกรรมทอผ้าไหมบ้านหนองบ่อ อุบลราชธานี](http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/wp-content/uploads/2016/09/nong-bho_07-1024x734.jpg)
ประวัติความเป็นมาของบ้านหนองบ่อ อุบลราชธานี
บ้านหนองบ่อ เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณที่มีน้ำออกบ่อ (น้ำซับ) ขนาดใหญ่ และภายในหมู่บ้านมีหนองน้ำอยู่หลายแห่ง อาทิ หนองแล้ง หนองตาเอียด และหนองหลวง บรรพบุรุษจึงตั้งชื่อหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านหนองบ่อ” บ้านหนองบ่อไม่มีใครทราบว่าใครเป็นผู้นำกลุ่มชนมาตั้งหมู่บ้านแห่งนี้ เพราะไม่มีหลักฐานปรากฏชัดเจน ทราบแต่ว่า เดิมนั้นเป็นชาวบ้านตากแดด (ดงบังบ้านเก่า) ซึ่งย้ายมาจากบ้านแค (บ้านดงบังในปัจจุบัน) ครั้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2311 บ้านตากแดดเกิดโรคห่า (โรคอหิวาตกโรค) ระบาด ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านจึงพากันอพยพหนี โดยแยกย้ายกันเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งอพยพไปทางทิศเหนือ และไปตั้งชื่อบ้านใหม่ว่า “บ้านโพนงาม” และอีกกลุ่มหนึ่งอพยพไปทางทิศตะวันตก ไปตั้งหมู่บ้านใหม่ว่า “บ้านหนองบ่อ” และเรียกว่า บ้านหนองบ่อ มาจนถึงปัจจุบัน
![ผ้าไหมกาบบัวประยุกต์ งานหัตถกรรมทอผ้าไหมบ้านหนองบ่อ](http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/wp-content/uploads/2016/09/nong-bho_11-1024x734.jpg)
กลุ่มอาชีพทอผ้าบ้านหนองบ่อ
กลุ่มอาชีพทอผ้าบ้านหนองบ่อ หมู่ 1 ตำบลหนองบ่อ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เป็นกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2544 โดยมีสมาชิกแรกเริ่ม 20 คน กลุ่มมีผลิตภัณฑ์เด่นคือ ผ้าไหม และผลิตภัณฑ์รองคือ ผ้าด้าย โดยกลุ่มทอผ้าได้มีการสืบทอดภูมิปัญญาสู่เยาวชนและสตรีในหมู่บ้าน เพื่อให้มีรายได้เสริมนอกจากฤดูทำนา ซึ่งกลุ่มได้มีการพัฒนาฝีมือในการผลิตผลิตภัณฑ์ขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันเป็นที่รู้จักของลูกค้าโดยทั่วไป
องค์ความรู้เรื่องการทอผ้าไหมของบ้านหนองบ่อนี้ มีการการจัดกิจกรรมเพื่อสืบสาน อนุรักษ์และถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับเยาวชนด้วย โดยจัดเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนในโรงเรียนบ้านหนองบ่อ มีการปลูกหม่อน มีโรงเรือนเลี้ยงไหม ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติ อุบลราชธานี
องค์ความรู้และภูมิปัญญาในงานหัตถกรรมการทอผ้าไหม บ้านหนองบ่อ
กลุ่มอาชีพทอผ้าบ้านหนองบ่อนั้น จะทอผ้าไหมจากเส้นไหมสาวจากตัวหนอนไหมที่เลี้ยงเองและเส้นไหมสำเร็จรูป
สายพันธุ์หนอนไหมที่กลุ่มฯ เลี้ยงเอง ได้แก่ หนอนไหมพันธุ์ดอกบัว พันธุ์เหลืองไพโรจน์ (ได้เส้นไหมเยอะ) พันธุ์พื้นบ้าน เช่น นางตุ่ย นางสิ่ว ส่วนหนึ่งได้พันธุ์มาจากการสนับสนุนของศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติอุบลราชธานี การเลี้ยงหม่อนจะมีทั้งเลี้ยงที่บ้านและเลี้ยงที่ศูนย์ทอผ้าของหมู่บ้าน
วิธีการเลี้ยงหนอนไหม หนอนไหม 1 แผ่นที่ได้รับจากศูนย์หม่อนไหมจะสามารถแบ่งเลี้ยงได้ประมาณ 30-40 กระด้ง ซึ่งจะได้ฝักหลอกสำหรับสาวเส้นไหม ประมาณ 30-40 กิโลกรัม (ฝักหลอก 1 กิโลกรัม ได้เส้นไหมประมาณ 1 ขีด) ในการเลี้ยงจะใช้ผ้าขาวบางสะอาดคลุมกระด้งไว้ป้องกันแมลงและสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ในการเลี้ยงจะมีข้อระวัง คือ จะเลี้ยงในโรงเรือนที่สะอาด โล่ง ปลอดโปร่ง ห้ามมีกลิ่นน้ำหอม กลิ่นควัน แมลง หนู รบกวน รักษาความชื้นให้เหมาะสม ถ้ามีความชื้นมาก เช่น ฤดูฝนจะไม่นิยมเลี้ยง และไม่ให้อากาศร้อนจนเกินไป ถ้าหากอากาศร้อนจะคลุมกระด้งเลี้ยงตัวหนอนด้วยผ้าเปียกที่ซักสะอาดแล้ว ระยะเวลาในการเลี้ยง ประมาณ 25 วันจึงจะได้ฝักหลอกนำไปสาวได้ แต่ถ้าให้อาหารหนอนไหมไม่สม่ำเสมอ จะใช้เวลาเลี้ยงนานขึ้น คือ ประมาณ 30 วัน
การให้อาหาร 1 วัน จะให้อาหาร 4 มื้อ คือ ช่วงเวลาประมาณ 05.00, 12.00, 17.00 และ 20.00 น. โดย
- วัย 1 จะให้อาหาร 4 วัน ปล่อยให้นอนจึงให้อาหารใหม่
- วัย 2 ให้อาหาร 2 วัน ปล่อยให้นอนจึงให้อาหารใหม่
- วัย 3 ให้อาหาร 2 วัน ปล่อยให้นอนจึงให้อาหารใหม่
- วัย 4 ให้อาหาร 3 วัน แล้วจะให้อาหารเร่งให้โต ประมาณ 7-8 วัน พอตัวหนอนไหมเริ่มสุกหรือพร้อมจะพ่นใยก็จะเก็บใส่จ่อ
ในการเลี้ยงตัวหนอนไหมถ้าในกระด้งมีตัวหนอนไหมเยอะ และโตไม่ทันกัน จะทำการย้ายกระด้งเพื่อกระจายตัวหนอนไหมออกไม่ให้หนาแน่นเกินไป
การปลูกต้นหม่อนเพื่อใช้ในการเลี้ยงหนอนไหม จะปลูกหม่อนสายพันธุ์บุรีรัมย์ 60 โดยการสนับสนุนขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองบ่อแบ่งพื้นที่ให้ตามความต้องการของสมาชิก ซึ่งจะได้พื้นที่คนละประมาณ 1-2 งาน นอกจากนั้นแล้วก็ยังปลูกต้นหม่อนในพื้นที่บริเวณบ้านของตนเองด้วย
![เส้นไหมที่สาวได้จากหนอนไหมที่เลี้ยงเอง ในงานหัตถกรรมทอผ้าไหมบ้านหนองบ่อ](http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/wp-content/uploads/2016/09/nong-bho_02-1024x734.jpg)
การสาวไหม จะสาวไหมจากเปลือกนอกสุดไปจนถึงข้างใน ซึ่งจะได้เส้นไหม 3 แบบ คือ ไหมนอกหรือไหมลืบ ไหมน้อย และไหมสาม หรือไหมขอดหลอก หรือ ไหมแลง ซึ่งเส้นไหมที่เปลือกจะเส้นใหญ่มีความหยาบกว่าเส้นไหมที่อยู่ข้างใน
การสาวไหม จะใช้ไฟปานกลางต้มน้ำให้ร้อนกำลังจะเดือด ถ้าใช้ไฟแรงน้ำเดือดจะสาวไหมได้เส้นไหมใหญ่ การนำฝักหลอกลงหม้อครั้งแรกจะใส่ลงไปประมาณ 80 ฝัก ครั้งต่อไปประมาณ 20-30 ฝัก หรือเท่า ๆ กับจำนวนฝักหลอกที่ตักขึ้น พวงสาวที่ใช้จะใช้แบบสามพวง ซึ่งจะทำให้การปั่นเกลียวเส้นทำได้ดีขึ้น สาวเส้นไหมลงในตะกร้า
เมื่อสาวไหมเสร็จแล้วจะนำเส้นไหมออกจากตะกร้า โดยใส่ข้าวสารหรือหินกรวดลงไปทับเส้นไหมไว้ เพื่อให้เส้นไหมไม่พันกันขณะกวักเส้นไหมใส่อัก จากนั้นจะกวักเส้นไหมใส่อัก แล้วจึงกวักใส่เล่งเพื่อทำให้เป็นใจตามขนาดความยาวที่ต้องการ นำไปผึ่งลมให้แห้งแล้วห่อกระดาษไว้เก็บในที่แห้ง เพื่อรอขั้นตอนการนำไปใช้ต่อไป
เส้นไหมที่ใช้สำหรับทอผ้าเพื่อขายนั้น ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะใช้เส้นไหมสำเร็จรูปที่ซื้อมา ส่วนเส้นไหมสำหรับทอผ้าเพื่อใช้งานเอง จะใช้เส้นไหมที่เลี้ยงตัวหนอนไหมเอง
การฟอกกาว หรือการด่องไหมด้วยด่าง คือการล้างกาวไหมออก ถ้าไม่ฟอกกาวออกเส้นไหมจะกัดกันขาด ชาวบ้านหนองบ่อมีวิธีการฟอกกาวทั้งแบบธรรมชาติและแบบเคมี แบบธรรมชาติมีวิธีการทำ คือ เผาต้นขี้เหล็กจนได้ขี้เถ้า นำกากมะพร้าวหรือผ้าขาวมากรองเอาเฉพาะขี้เถ้า ขี้เถ้าที่ได้นำไปละลายน้ำจะได้น้ำขี้เถ้าหรือน้ำด่าง แล้วนำเส้นไหมลงไปแช่ให้ท่วม ประมาณ 10 นาที จึงบิดน้ำด่างออก แล้วจึงนำเส้นไหมลงต้มในน้ำเดือด ประมาณ 30 นาที ค่อยนำมาล้างด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง โดยทดสอบด้วยการขยี้เส้นไหม ถ้าลื่น แสดงว่า ยังล้างกาวออกไม่หมด ให้ล้างน้ำสะอาดต่อจนเส้นไหมฝืดมือ หรือจนน้ำล้างใส ประมาณ 10 ครั้ง ในระหว่างล้างให้กระตุกหรือทกเส้นไหมด้วย เพื่อให้เส้นไหมตรง เส้นไหมที่ได้จะมีสีขาว ถ้าฟอกไหมหรือล้างกาวไม่สะอาด เวลาย้อมจะติดสีไม่สม่ำเสมอ หรือเรียกว่า สีด่าง
![การย้อมสีเส้นไหม ในงานหัตถกรรมทอผ้าไหมบ้านหนองบ่อ](http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/wp-content/uploads/2016/09/nong-bho_01-1024x734.jpg)
การย้อมสีเส้นไหม จะมีทั้งแบบย้อมสีเคมีและย้อมสีจากธรรมชาติ การย้อมสีจากธรรมชาติ วัสดุที่นำมาใช้ย้อม ได้แก่ สีดำ จากมะเกลือ สีแดง จากครั่ง เปลือกสีเสียด เปลือกก่อ สีน้ำตาล จากผลคูณอ่อน สีส้ม จากเมล็ดคำแสดแช่น้ำและย้อมร้อน ในการย้อมเส้นไหมนั้นมีความเชื่ออยู่ว่าจะไม่ย้อมผ้าวันพระ ไม่ย้อมในวันที่ในหมู่บ้านมีคนตาย และการย้อมครั่งนั้นห้ามมีคนรบกวน และห้ามคนท้องเข้าใกล้
![เส้นไหมย้อมครั่ง ในงานหัตถกรรมทอผ้าไหมบ้านหนองบ่อ](http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/wp-content/uploads/2016/09/nong-bho_081-1024x734.jpg)
![เส้นไหมย้อมมะเกลือ ในงานหัตถกรรมทอผ้าไหมบ้านหนองบ่อ](http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/wp-content/uploads/2016/09/nong-bho_09-1024x734.jpg)
การทอผ้าไหมมัดหมี่ของบ้านหนองบ่อ ส่วนใหญ่จะใช้ฟืม 40 หลบ 2 ตะกอ ได้ผ้าหน้ากว้าง 1 เมตร การทอผ้าลูกแก้ว 5 ตะกอ ผ้าห่มขิด 7 ตะกอ ความสามารถในการทอผ้านั้น ทอได้วันละ 0.5 เมตร ถ้าผ้าสีพื้นได้วันละ 1.5 เมตร แต่วันที่ฝนตกจะทอยากขึ้น ผ้าทอของบ้านหนองบ่อส่วนใหญ่จะเป็นผ้าลายลูกแก้ว ผ้าขิด ผ้าซิ่นทิว และจะทอลายอื่น ๆ บ้าง เช่น ลายหมากจับ หมี่ขอ หมี่ตาแห หมี่นาค เป็นต้น
![ผ้าไหมลายประสาทผึ้ง ผ้าไหมลวดลายเอกลักษณ์ของจังหวัดอุบลราชธานี](http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/wp-content/uploads/2016/09/nong-bho_10-663x1024.jpg)
ลวดลายเอกลักษณ์ของผ้าไหมบ้านหนองบ่อ คือ ลายประสาทผึ้ง ซึ่งลายนี้ประกอบด้วย ลายประสาทผึ้ง ลายโคมเก้า ลายหมี่คั่น ลายหมากจับ ลายเอี๊ย และลายข้อ เป็นลวดลายเก่าแก่ที่ชาวบ้านสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งชาวบ้านจะใช้สำหรับนุ่งห่มในงานบุญประเพณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานบุญบั้งไฟ การฟ้อนกลองตุ้มเพื่อขอฝน การทำผ้าลายประสาทผึ้งนี้ มาจากความเชื่อที่ว่า เมื่อมีผู้ตายในหมู่บ้าน ผู้ชายในหมู่บ้านจะช่วยกันทำปราสาทผึ้ง ซึ่งทำด้วยกาบกล้วย ประดับประดาด้วยขี้ผึ้งให้สวยงามเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย เชื่อว่าผู้ตายจะได้อยู่ปราสาทเหมือนปราสาทผึ้ง จึงได้เอาลวดลายปราสาทผึ้งมาทอบนผืนผ้าจะเป็นลายปราสาทผึ้ง เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านสืบต่อมา
![ผ้าไหมลายประสาทผึ้ง ผ้าไหมลวดลายเอกลักษณ์ของบ้านหนองบ่อ](http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/wp-content/uploads/2016/09/nong-bho_03-1024x734.jpg)
ผ้าทอของบ้านหนองบ่อเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ได้รับมาตรฐานจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ OTOP 5 ดาว ตรานกยูงทองพระราชทาน รางวัลผ้าไหมมัดหมี่ระดับจังหวัดและระดับชาติ และได้รับการคัดสรรเป็นผลิตภัณฑ์ดีเด่น ระดับ 5 ดาว เป็นต้น เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีจนชาวบ้านผลิตไม่ทัน จะต้องมีการสั่งซื้อล่วงหน้าจึงจะได้เป็นเจ้าของ โดยเฉพาะผ้าลายประสาทผึ้งซึ่งเป็นลายเอกลักษณ์ ซึ่งคุณค่าของผ้าลายนี้ที่ทำให้เป็นที่ต้องการมาก คือ ความยากในการมัดลาย และความละเอียดในการทอที่ทำให้ได้ลายเล็กและคมชัด
![ผ้าไหมมัดหมี่ ในงานหัตถกรรมทอผ้าไหมบ้านหนองบ่อ](http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/wp-content/uploads/2016/09/nong-bho_12-1024x734.jpg)
ชาวบ้านในกลุ่มทอผ้าบ้านหนองบ่อมีรายได้จากการทอผ้าประมาณ 40,000-50,000 บาท/ปี ประกอบเป็นอาชีพหลักพร้อม ๆ กับอาชีพทำนา โดยราคาผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติความยาว 2 เมตร ราคาอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท ผ้าไหมย้อมสีเคมี ราคา 4,000 บาท ผ้าห่มขิด ขนาดกว้าง 2.30 เมตร กว้าง 0.60 เมตร ผืนละ 5,000 บาท และผ้าที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ต้องการ คือ ผ้าหัวซิ่นจกดาว ซึ่งเป็นผ้าที่ทำได้ยาก ต้องใช้เวลาและความอดทนมากพอสมควรในการทำ ในสมัยก่อนนั้นผ้านุ่งของเจ้านายชั้นสูงมักจะทำหัวซิ่น “จกดาว” คือ ทำเป็นลายลักษณะคล้ายลายดอกประจำยาม แต่เรียกกันว่า “จกดาว” หรือ “ลายดาว” ซึ่งเป็นลายหัวซิ่นจกที่ใช้แสดงสถานภาพทางสังคมได้อย่างหนึ่ง
![ผ้าซิ่นไหมลายประสาทผึ้งหัวซิ่นจกดาว](http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/wp-content/uploads/2016/09/jokdao2.jpg)
![แม่อุษา ศิลาโชติ ช่างทอผ้าไหมฝีมือดีของบ้านหนองบ่อ](http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/wp-content/uploads/2016/09/nong-bho_14-663x1024.jpg)
![แม่อุไร ส่งเสริม ช่างทอผ้าไหมบ้านหนองบ่อ](http://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/wp-content/uploads/2016/09/nong-bho_13-663x1024.jpg)
ที่ตั้ง กลุ่มหัตถกรรมทอผ้าไหมบ้านหนองบ่อ
บ้านหนองบ่อ หมู่ 1 ตำบลหนองบ่อ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
พิกัดภูมิศาสตร์ กลุ่มหัตถกรรมทอผ้าไหมบ้านหนองบ่อ
15.248393, 104.701523
บรรณานุกรม
สิทธิชัย สมานชาติ. (2553). รายงานโครงการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม โครงการสำรวจผ้าซิ่นหมี่หัวจกดาว เอกลักษณ์เมืองอุบลเพื่อสืบสานและเป็นฐานข้อมูลในการจัดการเรียนการสอนสาขาสิ่งทอและแฟชั่น. อุบลราชธานี : คณะศิลปะประยุกต์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อุไร ส่งเสริม. สัมภาษณ์, 1 กรกฎาคม 2559
อุษา ศิลาโชติ. สัมภาษณ์, 1 กรกฎาคม 2559