ข้าวเม่า อาหารพื้นบ้านอีสานและขนมไทยโบราณที่ทำจากข้าวเหนียวอ่อน ผ่านการคั่ว ตำ และร่อนจนได้เมล็ดข้าวสีเขียวหอมมัน มีรสชาติอ่อนนุ่มและกลิ่นหอมเฉพาะตัว นิยมรับประทานเป็นของว่างหรือทำขนม เช่น ข้าวเม่าทอด และข้าวเม่าคลุกมะพร้าว นอกจากจะเป็นอาหารพื้นบ้านที่สะท้อนวิถีชีวิตและภูมิปัญญาท้องถิ่น ข้าวเม่ายังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมด้วยคาร์โบไฮเดรต วิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระ จึงเป็นทั้งอาหารอร่อยและดีต่อสุขภาพ
หลายคนอาจคุ้นเคยกับเมนูขนมหวานจาก “ข้าวเม่า” ไม่ว่าจะเป็นข้าวเม่าคลุกน้ำตาล, ข้าวเม่าน้ำกะทิหอมมัน หรือข้าวเม่าทอดกรุบกรอบ นอกจากนั้นยังพบว่าในช่วงออกพรรษาข่าวเม่าจะมีบทบาทในประเพณีอีสานที่เรียกว่า “งานสังฆทานข้าวเม่า” หรือ “งานบุญข้าวเม่า” ที่ชาวบ้านจะนำข้าวเม่าที่ทำขึ้นมาถวายพระร่วมกันที่วัด บทบาทในพิธีกรรมความเชื่อนั้นชาวนาจะทำข้าวเม่าเพื่อ เซ่นไหว้ “ผีตาแฮก” หรือผีเจ้าปู่ที่รักษาไร่นา เพื่อขอผลผลิตที่ดีในปีนั้น ๆ แสดงให้เห็นถึงความผูกพันที่คนในท้องถิ่นมีต่อข้าวเม่าในฐานะส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมอันดีงามที่สืบทอดกันมา
ในจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อปี 2543 พบว่ามีชุมชนใหญ่ในสองตำบลหลักที่เป็นแหล่งผลิตข้าวเม่าที่ขึ้นชื่อคือ ตำบลโพธิ์ศรี อำเภอพิบูลมังสาหาร และตำบลคำเจริญ อำเภอตระการพืชผล เนื่องจากมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์และเก็บเกี่ยวได้เร็วกว่าที่อื่น และพบว่าที่ อำเภอดอนมดแดง ก็เป็นแหล่งที่ชาวนาอำเภอตระการพืชผลนิยมไปซื้อข้าวที่ออกรวงแล้วเพื่อมาทำข้าวเม่า ชาวบ้านจะเริ่มลงมือทำข้าวเม่ากันตั้งแต่ช่วงปลายเดือนสิงหาคมไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ท้องนาเต็มไปด้วยรวงข้าวที่ยังไม่แก่จัดกำลังดี สร้างรายได้ให้แต่ละครอบครัวได้ถึง 10,000-30,000 บาทเลยทีเดียว ทั้งนี้ ราคาของข้าวเม่าจะแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาและแหล่งผลิต โดยข้าวเม่าในช่วงต้นฤดูจะมีความนุ่มหอมและราคาสูงกว่าปกติ
การเลือกสายพันธุ์ข้าวเหนียวที่เหมาะสม ถือเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตข้าวเม่าที่อร่อยถูกปาก ผู้ผลิตข้าวเม่าจะวางแผนและเลือกปลูกสายพันธุ์ข้าวเนียวที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวและมีช่วงออกดอกใกล้เคียงกัน เพื่อให้สามารถการเก็บเกี่ยวและแปรรูปได้อย่างต่อเนื่อง หากแปรรูปไม่ทันก็สามารถปล่อยข้าวทิ้งไว้ในแปลงเพื่อเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์ในปีต่อไป โดยในพื้นที่ตำบลโพธิ์ศรี อำเภอพิบูลมังสาหาร นิยมใช้สายพันธุ์ข้าวที่หลากหลาย เช่น กข 6, กข 8, อีดอ, คอมะขาม และคอบุญมา ขณะที่ในตำบลคำเจริญ อำเภอตระการพืชผล จะนิยมใช้สายพันธุ์ข้าวอย่าง กข 6, กข 8, ดอมะขาม, ดอชมนก และดอเหลืองบุญมา
คุณภาพของข้าวเม่าที่ได้ก็แตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ เช่น ข้าวเม่าจากข้าว กข 6 ขึ้นชื่อเรื่องความหอมหวานและนุ่มนวลกว่าพันธุ์อื่น ขณะที่ข้าวเม่าจากพันธุ์ดอมะขาม แม้คุณภาพจะไม่ดีเท่า แต่ก็มีข้อดีที่สามารถผลิตและจำหน่ายได้ในช่วงต้นฤดู ทำให้ได้ราคาที่ดีกว่า
ข้าวเม่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร ไขมัน วิตามินบี 1, บี 2, ไนอะซิน, ธาตุเหล็ก, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, และโปรตีน ซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต

การทำข้าวเม่า จากรวงข้าวอ่อนสู่เม็ดสีเขียวหอมนุ่ม
ข้าวเม่า ที่เราคุ้นเคยไม่ได้มาจากการเก็บเกี่ยวข้าวแก่จัด หากแต่เป็นผลผลิตจากรวงข้าวอ่อนที่ยังไม่ทันแก่เต็มที่ ซึ่งต้องผ่านกรรมวิธีอันเป็นภูมิปัญญาที่พิถีพิถันของชาวบ้าน
1. การเก็บเกี่ยวรวงข้าว
ขั้นตอนแรกคือการเลือกเก็บเกี่ยว รวงข้าวเหนียว ที่อยู่ในระยะหลังดอกบานประมาณ 15 วัน หรือเมื่อบีบเมล็ดแล้วมี น้ำสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม เรียกว่าระยะน้ำนม (ปลายสีเขียว แต่ไม่แก่จัด) จากนั้นจึงนำรวงข้าวมาเคาะเบา ๆ เพื่อให้เมล็ดข้าวที่แก่เกินไปหลุดออกไปก่อน จึงจะใช้เครื่องมือเฉพาะในการกะเทาะเมล็ดที่เหลือออกจากรวง จากนั้นนำเมล็ดข้าวที่ได้ไปแช่น้ำเพื่อคัดเมล็ดลีบที่ลอยน้ำออก
2. การนึ่ง คั่ว และตำ
หลังจากคัดเลือกเมล็ดข้าวแล้ว จะนำไปนึ่งในหวดจนสุก จากนั้นจึงนำมา คั่วในกระทะด้วยไฟอ่อน ๆ เพื่อให้ข้าวมีกลิ่นหอม คั่วจนเมล็ดข้าวเกือบแห้งแล้วตั้งทิ้งไว้ให้เย็นลง ซึ่งบางท้องถิ่นอาจคั่วเพียงอย่างเดียวโดยไม่นึ่งก่อน ขั้นตอนต่อไปคือการนำข้าวที่คั่วแล้วมา ตำในครกกระเดื่อง เพื่อเอาเปลือกแข็งออก โดยจะตำและฝัดแกลบออกซ้ำ ๆ 2-3 ครั้ง จนได้ ข้าวเม่าสีเขียว นุ่มน่ารับประทาน
ระหว่างขั้นตอนการคั่ว ผู้ผลิตบางรายอาจมีการปรุงแต่งด้วยการใส่ ใบเตย เพื่อเพิ่มกลิ่นหอม หรือใส่ สีเขียวผสมอาหาร เพื่อให้ข้าวเม่ามีสีสันสวยงามน่ารับประทานมากขึ้น
ข้อจำกัดในการผลิตข้าวเม่าด้านวัตถุดิบและคุณภาพ
- มีตามฤดูกาล: วัตถุดิบหลักอย่างข้าวอ่อนสามารถเก็บเกี่ยวได้เฉพาะช่วง เดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน เท่านั้น ทำให้การผลิตทำได้เพียงช่วงสั้น ๆ ในแต่ละปี
- ระยะเวลาจำกัด: ข้าวที่เก็บเกี่ยวมาควรนำมาแปรรูปภายในวันเดียวกันหรืออย่างช้าที่สุดไม่เกิน 2-3 วัน เพราะหลังจากนั้นคุณภาพจะลดลง ทั้งความหวาน กลิ่นหอม และอาจเกิดกลิ่นอับได้
- ควบคุมคุณภาพยาก: การซื้อวัตถุดิบจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่ของตนเองทำให้ควบคุมคุณภาพได้ยาก ส่งผลให้ข้าวเม่าที่ผลิตออกมามีคุณภาพไม่สม่ำเสมอ
ข้อจำกัดด้านการผลิตและต้นทุน
- เครื่องมือราคาแพง: ผู้ผลิตส่วนใหญ่ยัง ขาดเครื่องจักรที่เป็นของตนเอง เนื่องจากมีราคาสูงและไม่คุ้มค่ากับการลงทุนเพื่อใช้งานเพียงช่วงสั้น ๆ ของปี ทำให้ต้องใช้วิธีเช่าครกกระเดื่องที่ใช้เครื่องยนต์ในการตำ ซึ่งต้องเสียค่าเช่าและต้องรอคิว ทำให้เสียเวลาและลดกำลังการผลิตลง
- ข้อจำกัดด้านแรงงาน: การผลิตพึ่งพา แรงงานในครัวเรือน หรือภายในหมู่บ้านเป็นหลัก ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่จำกัดปริมาณการผลิตต่อวัน
- อายุการเก็บรักษา: ข้าวเม่าสดสามารถเก็บไว้ได้เพียง 1-2 วันเท่านั้น หลังจากนั้นต้องนำไป ตากแดดหรือทอด เพื่อให้เก็บได้นานขึ้น หากเก็บในตู้เย็นจะยืดอายุได้ถึง 2-3 เดือน
เปลี่ยนวิธีการแต่รสชาติยังเหมือนเดิม
การทำข้าวเม่าแบบดั้งเดิมได้มีการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการใช้แรงงาน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์และรสชาติแบบดั้งเดิมไว้
- การแปรรูปจากครัวเรือนสู่เชิงพาณิชย์และมาตรฐานอุตสาหกรรม
- แบบดั้งเดิม: แต่เดิม การทำข้าวเม่าเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ทำกันเฉพาะในครัวเรือน เพื่อใช้รับประทานเป็นอาหารว่าง ของฝากญาติพี่น้อง หรือใช้ในการเซ่นไหว้ผีตาแฮก (ผีปู่ย่าตายายที่รักษาไร่นา) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีบุญสังฆทานในช่วงออกพรรษา การทำแต่ละครั้งจะได้ปริมาณน้อย
- แบบปรับเปลี่ยน: ชุมชนได้พลิกโฉมข้าวเม่าให้กลายเป็นสินค้าแบรนด์ดัง สร้างรายได้หลักล้านต่อปี และกลายเป็นรายได้เสริมยามว่างจากการทำนา มีการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และมุ่งสู่การผลิตตามมาตรฐาน Good Manufacturing Practice (GMP) เพื่อความปลอดภัยและคุณภาพของอาหาร
- การใช้วัตถุดิบและกระบวนการผลิต
- แบบดั้งเดิม: การขูดเมล็ดข้าวในระยะน้ำนมออกจากรวงด้วยช้อนหรือไม้ไผ่ ขั้นตอนการตำจะใช้ครกไม้หรือครกกระเดื่องแบบโบราณหรือครกมองเพื่อกะเทาะเปลือกออก ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้แรงงานมาก การตำจะทำซ้ำ 2-3 ครั้ง เพื่อให้เปลือกออกหมด บางท้องถิ่นจะใช้ใบอ้อยดำตำร่วมด้วยเพื่อให้ข้าวเม่ามีสีเขียว หวาน และหอม
- แบบปรับเปลี่ยน: ยังคงใช้วัตถุดิบหลักคือเมล็ดข้าวเหนียวในระยะน้ำนม แต่มีการนำ เครื่องขูด มาใช้แทนการขูดด้วยไม้ไผ่ หรือบางครั้งมีการดัดแปลง ล้อจักรยานมาเป็นเครื่องปั่นข้าวเม่า เพื่อลดแรงงาน สำหรับการตำข้าวเม่า ได้มีการนำ เครื่องตำข้าวไฟฟ้า เข้ามาใช้ หรือใช้ เครื่องยนต์รถอีแต๋น หรือรถไถนาเดินตาม มาต่อพ่วงกับครกมอง เพื่อตำแทนแรงงานคน ทำให้กระบวนการเร็วขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยและพัฒนาการคั่วข้าวเม่าโดยใช้ เตาไฟฟ้าหรือเตาแก๊ส เพื่อควบคุมอุณหภูมิและลดปริมาณไขมันในผลิตภัณฑ์ แม้จะมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย แต่ชุมชนยังคงยึดมั่นในกรรมวิธีการผลิตแบบดั้งเดิมเพื่อคงรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของข้าวเม่าไว้
- การพัฒนาผลิตภัณฑ์และคุณค่าทางโภชนาการ
- แบบดั้งเดิม: ข้าวเม่าสามารถนำมาทำเป็นขนมได้หลายแบบ เช่น ข้าวเม่าคลุก, ข้าวเม่าหมี่, ข้าวเม่าเบื้อง, ข้าวเม่าบด และข้าวเม่าทอด และเป็นส่วนผสมในกระยาสารท
- แบบปรับเปลี่ยน: มีการต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและทันสมัยมากขึ้น เช่น ข้าวเม่าซีเรียล, ข้าวเม่าคลุกงา, ข้าวเม่าไรซ์เบอรี่, ข้าวเม่าตู่, ข้าวเม่ากระยาสารท, ลูกชิ้นข้าวเม่าทอด, และข้าวเม่าโอเมก้า (ข้าวเม่าหมี่ธัญพืชเสริมแครอทอัดแท่ง) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นสุขภาพ เนื่องจากขนมไทยแบบดั้งเดิมมักถูกมองว่าหวานและมัน การพัฒนาเหล่านี้ช่วยเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ (ลดไขมัน เพิ่มใยอาหาร) และความสะดวกในการบริโภค
- การตลาดและการจัดจำหน่าย
- แบบดั้งเดิม: ส่วนใหญ่เป็นการจำหน่ายในท้องถิ่นหรือเป็นของฝาก
- แบบปรับเปลี่ยน: มีการใช้ โซเชียลมีเดีย และแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Facebook, Shopee, Lazada ในการขยายตลาด ทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วและเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ได้กว้างขึ้น นอกจากนี้ยังมีการออกบูธในงานต่างๆ และยกระดับสู่การเป็นแหล่งเรียนรู้
ข้าวเม่าคลุก เมนูเด่นประจำจังหวัดอุบลราชธานี ปี 2568
“ข้าวเม่าคลุก” ได้รับคัดเลือกให้เป็นเมนูประจำจังหวัดอุบลราชธานี ในโครงการ “1 จังหวัด 1 เมนู เชิดชูอาหารถิ่น ‘รสชาติ…ที่หายไป The Lost Taste’ ประจำปี พ.ศ. 2568” ซึ่งจัดขึ้นโดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อสืบสานและเผยแพร่มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมด้านอาหารของไทย โดยโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเฟ้นหาและรวบรวมเมนูอาหารถิ่นที่มีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น รวมถึงเพื่อต่อยอดองค์ความรู้และส่งเสริมศักยภาพของเครือข่ายวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน ในกระบวนการคัดเลือก ได้มีการเปิดรับสมัครเมนูอาหารถิ่นจากทั่วประเทศ โดยในระดับจังหวัดมีการคัดเลือกเมนูที่ผ่านเกณฑ์จำนวน 5 เมนู ก่อนที่คณะกรรมการจากส่วนกลางจะพิจารณากลั่นกรองให้เหลือเพียง 3 เมนู จากนั้นจึงเปิดให้ประชาชนทั่วไปร่วมโหวตเพื่อคัดเลือกเมนูที่ได้รับความนิยมสูงสุดให้เหลือเพียง 1 เมนู ในที่สุด ซึ่งเมนูที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดของจังหวัดอุบลราชธานีและได้รับเกียรติให้เป็นตัวแทนของจังหวัด คือ ข้าวเม่าคลุก

วิธีการทำข้าวเม่าคลุก
ข้าวเม่าคลุกเป็นหนึ่งในเมนูข้าวเม่าโบราณที่สามารถทำได้ง่าย ๆ เพื่อรับประทานเป็นของว่างหรือของหวาน และยังสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นอาชีพได้อีกด้วย
ส่วนผสมหลักสำหรับข้าวเม่าคลุก: ข้าวเม่า มะพร้าวทึนทึกขูดเส้น มะพร้าวแก่ขูดละเอียด งาขาวคั่ว น้ำตาล น้ำสะอาด น้ำมะพร้าวอ่อน ใบเตยมัด เกลือ
ขั้นตอนการทำข้าวเม่าคลุก:
- เตรียมข้าวเม่า: นำข้าวเม่ามาฝัดกับกระด้งเพื่อเอาสิ่งสกปรกออก จากนั้นใส่ชามผสมเตรียมไว้
- ทำน้ำต้มใบเตยในหม้อ: ใส่น้ำสะอาด น้ำมะพร้าวอ่อน ใบเตยมัด เกลือ และน้ำตาลทราย คนให้ละลายเข้ากัน ต้มให้น้ำเดือดจนมีกลิ่นหอม จากนั้นปิดไฟ พักทิ้งไว้ให้เย็น
- คลุกข้าวเม่า: ค่อย ๆ ตักน้ำต้มใบเตยที่เตรียมไว้ใส่ลงในชามข้าวเม่า ใช้มือคลุกให้ข้าวเม่าพอเปียก กวนไปเรื่อย ๆ จนข้าวเม่าเหนียวติดกัน หากข้าวยังไม่นุ่ม สามารถใส่น้ำต้มใบเตยร้อนลงไปเพิ่มได้อีก เพราะข้าวเม่าจะดูดซับน้ำเข้าไปเอง ทำให้มีความนุ่มยิ่งขึ้น จากนั้นพักทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 5-10 นาที
- เตรียมมะพร้าว: ขูดมะพร้าวทึนทึกให้เป็นเส้น และขูดมะพร้าวแก่แบบละเอียด แล้วคลุกกับเกลือ
จากนั้นนำนึ่งด้วยซึ้งให้สุกประมาณ 10-15 นาที วิธีนี้จะช่วยไม่ให้มะพร้าวเสียง่าย
- เตรียมงาขาว: นำงาขาวไปคั่วในกระทะให้มีกลิ่นหอม เสร็จแล้วตักใส่ชาม ผสมน้ำตาลทรายให้เข้ากัน
- คลุกผสมและจัดเสิร์ฟ: เมื่อนึ่งมะพร้าวสุกดีแล้ว ให้ใส่มะพร้าวแก่ขูดละเอียดลงไปคลุกกับข้าวเม่าให้เข้ากัน โรยหน้าด้วยมะพร้าวทึนทึกขูดเส้น และงาขาวคั่วผสมน้ำตาลทรายตามชอบ เป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟ
ข้าวเม่าคลุกที่ได้จะมีกลิ่นหอมจากข้าวเม่าและใบเตย มีรสชาติหวานมัน และนุ่มน่ารับประทาน
นอกจากเมนูข้าวเม่าคลุกแล้ว ข้าวเม่ายังสามารถนำไปทำเป็นของหวานหรืออาหารรับประทานเล่นอย่างอื่นได้อีก เช่น
◦ ข้าวเม่าหมี่: ข้าวเม่าทรงเครื่องที่ผสมวัตถุดิบนานาชนิด เช่น กุ้งแห้งทอด เต้าหู้แข็ง หอมแดง และถั่วลิสงคั่ว
◦ ข้าวเม่าเบื้อง: ข้าวเม่าที่กวนกับน้ำเชื่อมจากน้ำตาลปี๊บและมะพร้าวขูดเส้น แล้วบีบอัดเป็นแผ่น
◦ ข้าวเม่าบดใบเตย: ของขึ้นชื่อของจังหวัดเพชรบุรี ที่โดดเด่นด้วยสีเขียวสวยงามจากน้ำใบเตยเข้มข้น มักปั้นเป็นก้อนกลมเล็กๆ คลุกกับมะพร้าวอ่อนขูดเส้น
◦ ข้าวเม่าทอดไส้กล้วยไข่: ข้าวเม่ากวนกับน้ำเชื่อมและมะพร้าวขูดขาวห่อกล้วยไข่ แล้วชุบแป้งทอดให้กรอบอร่อย

บรรณานุกรม
งานข้อมูลท้องถิ่น สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. (2565). ข้าวหอมมะลิอุบลราชธานี สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ของจังหวัดอุบลราชธานี. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2568, จาก https://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/esaninfo/?p=6102
จิตรา สิงห์ทอง และ ชุติมา ทองแก้ว. (2562). รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ ผลิตภัณฑ์เส้นกวยจั๊บอุบลผสมข้าวเม่ากึ่งสำเร็จรูปเพื่อสุขภาพ. อุบลราชธานี: สาขาวิชาอุตสาหกรรมเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
ฉัตรสุดา สุยะลา. (2553). การศึกษาเปรียบเทียบผลผลิตข้าวเม่า 4 สายพันธุ์ที่ปลูกโดยใช้ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ศึกษา. อุบลราชธานี: มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี.
ชมรมเทคโนโลยีทางอาหารและชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (2551). ข้าวเม่า: อาหารสุขภาพจากภูมิปัญญาพื้นบ้าน. เดลินิวส์ 21(408). หน้า 33.
เทคโนโลยีชาวบ้าน. (2563). ชาวนาเมืองอุบลฯ ทำ “ข้าวเม่า” ขาย รายได้เดือนละเกือบแสน.สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2568, จาก https://today.line.me/th/v3/article/YJg7m8.
ไทยโพสต์. (2568). “ข้าวเม่าเงินล้าน” ภูมิปัญญาพื้นบ้าน สู่ตลาดโลก. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2568, จาก https://www.thaipost.net/public-relations-news/767353/
บริษัท สปริงกรีน อีโวลูชั่น จำกัด. (2567). 5 สูตร ข้าวเม่า ขนมไทยโบราณ แปรรูปข้าวเหนียว สร้างมูลค่าให้มากขึ้น. สืบค้นเมื่อ 31 กรกฎาคม 2568, จาก https://www.sgethai.com/article/5-สูตร-ข้าวเม่า/?srsltid=AfmBOooqk23ay-qcYdbHRSgKmRyBmeTi6NHDOcWK_7n1O0OFZHIWvEO6
พัดชา เศรษฐากา และคณะ. (2564). คู่มือการผลิตข้าวเม่าให้ได้มาตรฐาน. สกลนคร: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร. สืบค้นเมื่อ 31 กรกฎาคม 2568, จาก https://explore.nrct.go.th/file_upload/submitter/file_upload//Ez1dRVtLpiv04eYVTpX8ff5b653.pdf
พัดชา เศรษฐากา และคณะ. (2564). รายงานกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย การเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวเม่าสู่มาตรฐานความปลอดภัยเพื่อยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน. สกลนคร: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร.
เพชรรัตน์ จงสกุลศรี. (2553). การพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวเม่าหมีธัญพืชเสริมแครอทอัดแท่ง (วิทยานิพนธ์ หลักสูตรคหกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร.
สิริพร จูอินทร์. (2559). ผลของการเก็บรักษาข้าวเปลือกระยะเม่าด้วยการแช่เยือกแข็งต่อคุณภาพข้าวเม่า. วิทยานิพนธ์ วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีการอาหาร คณะเกษตรศาสตร์. อุบลราชธานี. มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม. (2564). ข้าวเม่าโอเมก้า นวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ขนมไทย. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2568, จาก https://fic.nfi.or.th/technologyandinnovation_detail.php?smid=2255
อปท.นิวส์. (2567). ฟื้นฟูข้าวเม่าด้วยนวัตกรรม : รากเหง้าจากภูมิปัญญาสู่. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2568, จาก https://www.opt-news.com/news/46241
อริยาภรณ์ พงษ์รัตน์ (2543). การศึกษาวัฒนธรรมการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าวในจังหวัดอุบลราชธานี: รายงานผลการดำเนินงานโครงการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปี 2543. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2568, จาก https://www.esanpedia.oar.ubu.ac.th/ubu-art-culture/wp-content/uploads/2016/01/2543-03.pdf